นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย(THAI)คาดในปี 53 รายได้ของบริษัทจะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.76 แสนล้านบาท หรือรายได้ขยายตัว 13-14% จากปี 52 ที่มี 1.64 แสนล้านบาท ทั้งที่ช่วงไตรมาส 2/53 มีเหตุการณ์ทางการเมือง แต่สามารถตีตื้นผลประกอบการขึ้นมาได้ในไตรมาส 3/53
และคาดว่าในไตรมาส 4/53 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นจะมีจำนวนผู้โดยสารเข้ามามากทำให้รายได้ดีกว่าไตรมาส 3/53 แม้ว่าในไตรมาสนี้จะมีค่าใช้จ่ายให้กับพนักงานที่เกษียณก่อนอายุ จำนวนกว่า 2 พันล้านบาท แต่คาดว่ากำไรก็จะดีกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 136.4 ล้านบาท โดยช่วงไตรมาสนี้เงินยูโรอ่อนค่าทำให้บริษัทได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน
"รายได้ทำได้ดีกว่าเป้าหมายเล็กน้อย หรือใกล้เคียงเป้าหมาย และกำไรเราก็ทำได้ดีกว่าเป้า เพราะต้นทุนลดได้ดีกว่าเป้า จริงๆ ถ้าเงินบาทไม่แข็งค่า(เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ) รายได้เราจะได้มากกว่านี้อีก"นายปิยสวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยในปี 53 รวมกับ ค่าธรรมเนียมน้ำมัน(Fuel Surcharge)มี Yield เพิ่มขึ้น 4% ของรายได้ผู้โดยสาร/กม. ส่วนคาร์โก้ มี yield เพิ่มขึ้น 7% ของพัสดุภัณฑ์ ตัน/กม.
สำหรับปี 54 นายปิยสวัสดิ์ เชื่อมั่นว่า ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรในปี 54 จะดีกว่าปี 53 แม้ฝั่งยุโรปและสหรัฐยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่การเดินทางหรือการประชุมสำคัญต่าง ๆ ได้มีการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว ส่วนหนึ่งเลื่อนมาจากปี 53 รวมทั้งด้านการเดินทางท่องเที่ยวคาดว่าจะมีการขยายตัวขึ้นด้วย
และ คาดว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม(EBITDA)ในปีหน้าจะเติบโต 10% เช่นเดียวกับรายได้ในปี 54 คาดว่าจะโต 10% เพราะปีหน้าจะมีค่าใข้จ่ายลดลงอีก โดยเฉพาะจากการนำเครื่องบินเข้ามาใหม่เพิ่มในฝูงบิน ทำให้ลดต้นทุนด้านน้ำมันและการซ่อมบำรุงรักษา
"ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ปีหน้าน่าจะดี รายได้ปีหน้าเราโต 10% อบ่างไรปีหน้าผู้โดยสารต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว การเมืองเมื่อไตรมาส 2 ฉุดไม่เยอะ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่จำนวนผู้โดยสารก็จะยังเพิ่มขึ้น การประชุมขนาดใหญ่ที่ยกเลิกตอนที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองน่าจะกลับมาแล้ว กรุ๋ปทัวร์น่าจะกลับมาเข้ามาเรื่อยๆ แต่ถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิก น่าจะเป็นผลดี"นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
"EBITDA หรือ EBITDAR (รวมค่าเช่าเครื่องบิน) จะเติบโตดีใน 3-5 ปี แต่ Net Profit คงโตไม่เท่า เพราะมีรายการพิเศษเข้ามา"นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
อนึ่ง รายได้ของการบินไทย คิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 48%, เงินยูโร 19.6%, เงินเยน 7.4% และเงินบาท 25% และหากนับสัดส่วนรายได้จากที่นั่ง ชั้นประหยัดจะมีสัดส่วนประมาณกว่า 70% ชั้นธุรกิจประมาณกว่า 20%
*บินแน่"ไทย ไทเกอร์"ปีหน้าล่าช้ากว่าแผนเดิมใน เม.ย.
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมตัวพร้อมสำหรับการแข่งขันทั้งตลาดในระดับพรีเมี่ยม และระดับโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ โดยจะเปิดให้บริการสายการบิน ไทย ไทเกอร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง THAI กับไทเกอร์แอร์ แม้ว่าขณะนี้ขั้นตอนการจัดตั้งจะนี้ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ในเดือนเม.ย.54 เพราะติดขั้นตอนการขออนุมัติการใช้งบลงทุนจำนวน 99.8 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะเปิดให้บริการในปีหน้าได้แน่นอน
ภาพรวมธุรกิจการบิน เห็นได้ชัดเจนว่าการแข่งขันยังสูงมาก จากทั้งสายการบินพรีเมียมด้วยกันเอง โดยเฉพาะสายการบินในประเทศตะวันออกกลางที่ขยายฝูงบินเร็วมาก รวมทั้งยังมีการแข่งขันหนักในตลาดโลว์คอส แอร์ไลน์ ซึ่งได้ขขายฝูงบินเหมือนกัน เช่น แอร์เอเชีย, เจ็ทสตาร์ ซึ่งกลุ่มสตาร์อัลลายแอนซ์ ซึ่ง THAI เป็นสมาชิก มองว่าการขยายฝูงบินอย่างรวดเร็วดังกล่าวรวมถึงการขยายตัวของโลว์คอส แอร์ไลน์ เป็นภัยคุกคามสำหรับสมาชิกในกลุ่มสตาร์ อัลลายแอนซ์
สำหรับการบินไทย ได้วางกลยุทธ์ให้สายการบิน ไทย ไทเกอร์ทำการบินเส้นทางในต่างประเทศที่ใช้เวลาบินไม่เกิน 5 ชั่วโมงเป็นหลัก แม้ว่าจะมีบางเส้นทางที่บินในประเทศ ส่วนสายการบินนกแอร์(ถือ 39%)จะทำการบินในประเทศอย่างเดียว
ขณะเดียวกันการแข่งขันในสายการบินระดับพรีเมียม ในปีหน้า การบินไทยจะนำเครื่องบินที่ได้ปรับปรุงที่นั่งเป็นจุดแข็งในการแข่งขันกับสายการบินอื่น เพราะที่ผ่านมาผู้โดยสารบ่นเรื่อง inflight entertainment มากที่สุด รวมถึงที่นั่งในชั้นประหยัดจะมีการปรับให้สามารถปรับให้นอนราบได้ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีในปีหน้า
*ปี 54-60 มีแผนจัดหาเครื่องบินใหม่ 37 ลำทั้งเช่า-ซื้อ เสนอบอร์ดก.พ.
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนจัดซื้อเครื่องบินใหม่ 37 ลำเข้ามาในระหว่างปี 54-60 แบ่งเป็นเครื่องบินตัวเครื่องแบบ narrow body จำนวน 11 ลำ ซึ่งทดแทนเครื่องบินเก่า 9 ลำ และ 26 ลำ แบบ width body ซึ่งคาดว่าจะเป็นการสั่งซื้อเครื่องบิน new generation โดยจะมีทั้งแบบเช่าและซื้อใหม่ นำเสนอรายละเอียดของโครงการ รวมถึงงบลงทุนเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทในเดือน ก.พ.54
การนำเครื่องบินใหม่เข้ามาในฝูงบินจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพทำการบินได้สูงขึ้น รวมทั้งจะทำให้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาของบริษัทลดลงประมาณ 3.1% ต่อปี และ ลดการใช้น้ำมันประมาณ 1.4% ต่อปี ในช่วงปี 54-60 ช่วยทำให้กำไรบริษัทดีขึ้น
ส่วนปัจจัยความเสี่ยงเรื่องน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัว เงินดอลลาร์อ่อนค่า และมีอากาศหนาวผิดปกติ แต่เชื่อว่าราคาจะไม่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว และบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงราคน้ำมันไว้ระดับ 70% ส่วนใหญ่ทำสัญญาไว้ 6 เดือน รวมทั้งมีการปรับค่าธรรมเนียมน้ำมัน ก็น่าจะช่วยได้พอสมควร
ตามแผนในปี 54 -60 ทั้งปริมาณขนส่งผู้โดยสาร(Revenue Passenger-Kilometer:RPK)และปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร(Avsilable Seat- Kilometer: ASK)จะเพิ่มสูงขึ้นตามแผนการจัดหาเครื่องบินใหม่
ใน 2 ปีแรก ปี 54-55 จะมีการเติบโตสูง โดย RPK เติบโต 7.0% และ ในช่วงปี 56-60 RPK โต 5.9% ส่วน ASK จะขยายตัว 7.2% ในปี 54-55 และ 5.2% ในปี 56-60 จากการที่มีเครื่องบินใหม่เข้ามา
*ผ่านประเมินผลงาน 1 ปีที่ระดับ 92%
นายปิยสวัสดิ์ ยังกล่าวว่า จากผลการสำรวจล่าสุด(พ.ย.53) ของนิตยสาร Business Traveller ได้จัดให้การบินไทย (Airline Ranking Travel)เป็นสายการบินที่ดีเยี่ยมอันดับที่ 3 ของเอเชียแปซิฟิค หรือ 1 ใน 3 ของเอเชีย และ 1 ใน 5 ของโลก ซึ่งถือว่าตัวเขาทำได้ตามที่วางเป้าหมายได้
ส่วน Skytrack ซึ่งเป็นองค์กรประเมินเกี่ยวกับธุรกิจการบิน ได้จัดอันดับ การบินไทย เมื่อกลางปี 53 ทีผ่านมาอยู่ในลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งคาดว่าเร็วๆนี้จะมีการนำผลประเมินใหม่ออกมาเผยแพร่
และเมื่อ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมาผลการประเมินหลังการทำงานครบรอบ 1 ปีของนายปิยสวัสดิ์ หลังจากเริ่มรับตำแหน่งเมื่อ 19 ต.ค.52 คณะกรรมการประเมินผลงานได้ให้คะแนน KPI ระดับ 92% จากคะแนนเต็ม 100% โดยเรื่องระบบ Revenue Management ทำได้ช้ากว่าแผนเล็กน้อย
"คะแนนออกมาเท่าไรก็พอใจแค่นั้น ถ้าอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องในการประเมิน แต่คิดว่าเรื่อง Airline Ranking Travel ไปเอาอันดับของโลกมาประเมิน แทนที่จะเอาเอเชียแปซิฟิค"นายปิยสวัสดิ์ กล่าว