บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) ระบุว่า ในระยะ 5 ปี (54-58) มีแผนจะลงทุนเพิ่มราว 7,000-10,000 ล้านบาทเพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจโรงแรมให้มีจำนวนเป็น 2 เท่า และการเข้าซื้อทรัพย์สิน รวมทั้งมีแผนจะขยายแบรนด์ Ibis เพิ่มจากที่มีโรงแรมภายใต้แบรนด์ดังกล่าวอยู่ 7 แห่งเพื่อขยายฐานลูกค้าระดับล่างมากขึ้น นอกจากนี้จะมุ่งสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ด้วยการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์
นายกษมา บุณยคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ERAWAN กล่าวว่า บริษัทจะใช้งบลงทุน 7 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท ขยายโรงแรมในเครือเพิ่มอีก 1 เท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 13 แห่ง โดยจะเน้นโรงแรมระดับราคาประหยัดและโรงแรมระดับกลาง ราคาห้องพักไม่สูงเกินไป ซึ่งตลาดในระดับนี้ยังมีโอกาสในการเติบโตและมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียทั้งจีน รัสเซีย และอินเดีย รวมถึงอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเติบโตของธุรกิจโรงแรมนอกจากการลงทุนด้วยตัวเองแล้ว บริษัทยังมองการเข้าไปซื้อกิจการและการร่วมทุนด้วย โดยจะเน้นการเติบโตในประเทศไทย นอกจากการลงทุนในต่างประเทศมีโอกาสที่ดีจริง ๆ
นายกษมา กล่าวว่า เงินที่นำมาลงทุนจะใช้กระแสเงินสดของบริษัท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงการขายสินทรัพย์ คือ อาคารสำนักงานเพลินจิตเซ็นเตอร์และสิทธิการเช่าเข้าเป็นสินทรัพย์กองทุนอสังหาริมทรัพย์ P&L ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ในขณะที่บริษัทจะทำหน้าเป็นผู้บริหารสินทรัพย์ต่อไป โดยมูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าวอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท และบริษัทคาดว่าจะบันทึกกำไร 650 ล้านบาทภายในไตรมาส 2/54
ด้านนางกมลวรรณ วิปุลากร รองกรรมการผู้จัดการ ERAWAN กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 53 จะเติบโต 7% หรือมาอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท และปี 54 จะเติบโตสูงถึง 30-40% เนื่องจากฐานรายได้ปีนี้ค่อนข้างต่ำ ประกอบกับ บริษัทเปิดให้บริการโรงแรมขนาดใหญ่ในปีนี้และปีหน้าจะรับรู้รายได้เต็มปี อาทิ ฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา และ ไอบิส ริเวอร์ไซด์
ส่วนปปัจจัยด้านอื่น มองว่าปีหน้าการเมืองก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ กการท่องเที่ยวน่าจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การเลือกตั้งใหม่น่าจะช่วยกระตุ้นให้มีเม็ดเงินใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และโรงแรมของบริษัทก็ลงมาจับกลุ่มระดับกลางที่มีค่าห้องพัก 2,500-4,500 บาท/คืน มากขึ้น
บริษัทมีแผนลงทุนในปีหน้าประมาณ 300 ล้านบาทในการก่อสร้างโรงแรมไอบิสที่หัวหิน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 54 แล้วเสร็จในไตรมาส 1/55
"ปีนี้บริษัทเราคงขาดทุนแน่นอน เพราะ 9 เดือนก็ขาดทุนค่อนข้างมาก แต่ปีหน้าจะมีกำไรสุทธิทั้งจากโอเปอร์เรชั่นและการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน และแผน 5 ปีบริษัทเชื่อว่ามี EBITDA สูงถึง 2.4 พันล้านบาท" นางกมลวรรณ กล่าว