ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 23, 2010 09:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ภายหลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐปรับเพิ่มการประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 และยอดขายบ้านมือสองที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

ส่วนดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,139.58 จุด บวก 94.39 จุด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนอ่อนตัว 0.13% แตะ 2,874.20 จุด ขณะที่ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นโซลเปิดวันนี้ที่ 2,042.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.30 จุด สำหรับดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,891.41 จุด บวก 30.92 จุด ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,518.69 จุด บวก 3.64 จุด ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,780.10 จุด เพิ่มขึ้น 1.70 จุด และดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,156.10 บวก 11.79 จุด

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ (23 ธ.ค.) เนื่องในวันหยุด

ทั้งนี้ หุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนอ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการใช้มาตรการคุมเข้มเพิ่มเติมของทางการจีน

กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยการประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ครั้งสุดท้าย โดยระบุว่าจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 2.6% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 2.5% ต่อปี หลังจากภาคเอกชนปรับเพิ่มสต็อกสินค้า

ทั้งนี้ แม้จีดีพีไตรมาส 3 อยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.8% แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่า จีดีพีสหรัฐจะขยายตัวรวดเร็วขึ้นในไตรมาส 4 และมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554 หลังจากรัฐบาลสหรัฐตัดสินใจขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีของผู้มีรายได้ทุกระดับชั้นออกไปอีก 2 ปี พร้อมกับขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ประชาชนที่ว่างงานหลายล้านคนออกไปอีก 13 เดือน โดยมาตรการลดหย่อนภาษีมีมูลค่ารวม 8.58 แสนล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียยังได้แรงหนุหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 5.6% แตะที่ระดับ 4.68 ล้านหลัง จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 4.43 ล้านหลัง ส่วนราคากลางของบ้านมือสองอยู่ที่ระดับ 171,300 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 1.2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ