โบรกเกอร์ระบุปี 53 เป็นปีทองสำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ เนื่องจากเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก หนุนวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมสูง ตลาดหุ้นไทยพุ่งทะลุระดับ 1,000 จุดขึ้นไปได้ ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งสามารถทำกำไรจากพอร์ตลงทุนได้ดี และยังรับรายได้จากค่าคอมมิชชั่นกันทั่วหน้า
ปัจจุบัน วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29,000-30,000 ล้านบาท และทั้งปีนี้โบรกเกอร์ต่างก็คาดการณ์กันว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 54 ยังมีทิศทางที่ดี จากการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในปี 54 ยังปรับตัวขึ้นได้ เป็นผลจากเม็ดเงินทุนยังไหลเข้ามาในเอเชีย แต่ปีหน้ายังมีปัจจัยที่น่ากังวลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ดังนั้น โบรกเกอร์จึงคาดว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันน่าจะอยู่ในช่วง 28,000-30,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ปีหน้าโบรกเกอร์ยังคงใช้เกณฑ์การคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดเหมือนปีนี้ แต่อาจได้เห็นการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์มากขึ้น หรืออาจมีการกระจายสัดส่วนรายได้มากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันก่อนที่จะมีการเปิดเสรีโบรกเกอร์เต็มรูปแบบในปี 55 เพราะเชื่อว่าเมื่อเปิดเสรีแล้ว รายได้จากค่าคอมมิชชั่นจะลดลงอย่างแน่นอน
ในปี 54 โบรกฯแนะ"เก็งกำไร/ซื้อ"หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์เป็นรายตัว โดยพิจารณาบริษัทฯที่มีผลประกอบการดี, มีความสามารถในการแข่งขัน และมีการกระจายรายได้ที่ดี เช่น ASP ให้ราคาพื้นฐานปี 54 ในช่วง 3.12-3.50 บาท/หุ้น, หุ้น KGI ให้ราคาพื้นฐานปี 54 ไว้ในช่วง 3.04-3.35 บาท/หุ้น และหุ้น KEST ให้ราคาพื้นฐานปี 54 ไว้ที่ 18.80 บาท/หุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ ราคาปิด(บาท) เปลี่ยนแปลง(เพิ่มขึ้น) 4 ม.ค.53 21 ธ.ค.53 (บาท) (%) เคจีไอฯ(KGI) 1.20 2.64 1.44 120.00 เอเชียพลัส(ASP) 1.69 2.74 1.05 62.13 ภัทร(PHATRA) 16.90 27.00 10.10 59.76 บัวหลวง(BLS) 11.30 17.00 5.70 50.44 พัฒนสิน(CNS) 22.80 29.25 6.45 28.29 กิมเอ็งฯ(KEST) 12.30 15.40 3.10 25.20
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้รับผลดีจากเม็ดเงินไหลที่เข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทำให้วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมดีมากและดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นด้วย โบรกเกอร์สามารถทำกำไรจากพอร์ตลงทุนได้ดี และยังได้ค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหลักทรัพย์อีกด้วย โดยปัจจุบันวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 29,000-30,000 ล้านบาท และทั้งปีคาดว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท
ส่วนปี 54 มองว่าแนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์จะยังมีทิศทางที่ดีอยู่ จากการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในปี 54 ยังปรับตัวขึ้นได้ อันเป็นผลจากการมองว่ายังคงมีเม็ดเงินทุนไหลเข้ามาในแถบเอเชีย ทั้งนี้ คาดว่าวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจหลักทรัพย์ในปีหน้าอาจจะได้เห็นการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์กันมากขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการแข่งขันทางธุรกิจก่อนที่จะมีการเปิดเสรีโบรกเกอร์ในปี 55 เพราะเชื่อว่าเมื่อเปิดเสรีโบรกเกอร์แล้ว รายได้จากค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์จะลดลงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ในปี 54 ยังคงแนะนำ"เก็งกำไร"หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ได้เป็นรายตัว โดยพิจารณาบริษัทฯที่ให้ผลประกอบการที่ดี, มีความสามารถในการแข่งขัน และมีการกระจายรายได้ที่ดี อย่างเช่น หุ้น ASP จะเห็นได้ว่ารายได้ไม่กระจุกที่ค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว โดยให้ราคาพื้นฐานปี 54 ไว้ที่ 3.50 บาท/หุ้น,
หุ้น KEST มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ให้ราคาพื้นฐานปี 54 ไว้ที่ 18.80 บาท/หุ้น, หุ้น KGI เป็นบริษัทฯที่มีความโดดเด่นในพอร์ตลงทุน ซึ่งเพียงแค่ 9 เดือนของปีนี้ก็สามารถทำกำไรจากพอร์ตลงทุนได้ถึง 600 ล้านบาทแล้ว ตัวนี้ให้ราคาพื้นฐานปี 54 ไว้ที่ 3.35 บาท/หุ้น
ส่วนหุ้น PHATRA ก็เป็นบริษัทหลักทรัพย์หลักทรัพย์ที่ดี แต่ราคาปัจจุบันได้ขยับขึ้นมาใกล้ราคาพื้นฐานปี 54 ที่ให้ไว้ที่ 30 บาท/หุ้นแล้ว ดังนั้น จึงแนะ"ถือ"
นางศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในปีหน้าคงจะยังอยู่ในทิศทางที่ดี แต่อาจจะดีไม่เท่ากับปีนี้ที่ถือว่าดีมาก เนื่องจากวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันสูงมาก ปัจจุบันวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันมีถึง 29,000 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีนี้วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมจะเฉลี่ยต่อวันที่ 29,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้วอลุ่มเทรดสูงถึง 30,000-40,000 หมื่นล้านบาท แต่มองว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น จาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าเชื่อว่า Flow ยังคงไหลเข้ามา แต่เนื่องจากตลาดฯได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ทำให้ valuation ของตลาดบ้านเราถือว่าไม่ค่อยถูกนัก อีกทั้งปีหน้ายังมีปัจจัยที่ยังน่ากังวลจากการเมืองและเศรษฐกิจอีกด้วย ดังนั้นวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันในปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 28,000 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้เล็กน้อย
ทั้งนี้ คาดการณ์เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 54 ที่ 1,220 จุด อิง P/E 14.3 เท่า, ROE 15% และอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะโต 14.7% จากปีนี้คาดว่าจะโต 23%
นางศศิกร กล่าวต่อว่า ปีหน้าธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดเหมือนกับปีนี้ ดังนั้นคงจะได้เห็นบริษัทหลักทรัพย์มีการกระจายสัดส่วนรายได้มากขึ้น และลดรายได้นายหน้าค้าหลักทรัพย์ลง เพื่อลดผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดเสรีโบรกเกอร์ในปี 55 โดยปีหน้าโบรกเกอร์อาจจะมีการหารายได้จากตลาดอนุพันธ์เข้ามามากขึ้น คาดว่าวอลุ่มเทรดของตลาดอนุพันธ์ในปี 54 จะมี 24,500 สัญญา/วัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีวอลุ่มเทรด 19,000 สัญญา/วัน นอกจากนี้ปีหน้าก็จะมี product ใหม่เข้ามาช่วยขยายฐานรายได้ของโบรกเกอร์ให้กว้างขึ้นได้
สำหรับหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ชอบและแนะนำ"ซื้อ"เป็นหุ้น ASP เนื่องจากมีฐานรายได้กระจาย โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.12 บาท/หุ้น และคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 658 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีนี้ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 652 ล้านบาท นอกจากนี้ยังชอบหุ้น KGI ให้ราคาเป้าหมาย 3.04 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 54 จะอยู่ที่ 633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 625 ล้านบาท ซึ่งหุ้น ASP และ KGI จัดเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี โดยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมี 9-10%