บสก.ตั้งเป้าเข้าตลาดหุ้นเป็นปลายปี 55, เตรียมพร้อมรับโอนสินทรัพย์ บสท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 27, 2010 10:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุเมธ มณีวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด(บสก.)เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงปลายปี 55 โดยระหว่างนี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาประเมินศักยภาพองค์กรได้มีข้อสรุปแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทจะต้องมีการปรับปรุงองค์การหลายด้าน ทั้งเรื่องการบริหารความเสี่ยง ด้าน MIS ด้านไอที และด้านบุคลากร รวมถึงการแก้ไขกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยจะต้องมีการขยายธุรกิจเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการบริหารหนี้สิน เช่น การดูแลการบริหารจัดการทรัพย์สิน การประเมินราคา การรับเป็นที่ปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้ หรือ การบริหารจัดการโครงการ เป็นต้น

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน(FA)ซึ่งขณะนี้มีผู้เสนอตัวเข้ามาแล้ว 4-5 รายเพื่อเตรียมแผนเข้าตลาดหุ้น ส่วนรูปแบบการกระจายหุ้น ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะขายหุ้นเดิมในส่วนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ปัจจุบันถือหุ้น 99.99% หรือจะต้องมีการขายหุ้นเพิ่มทุนด้วยหรือไม่

ปัจจุบัน หุ้นบริษัทมีราคาพาร์ที่ 25 บาท ส่วนราคามูลค่าตามบัญชี(book value) อยู่ที่ 45 บาท

"ตอนนี้บอร์ดขอดูการเตรียมความพร้อมการแปรรูปเพื่อเข้าตลาดหุ้นก่อน หลังจากนั้นจะเสนอกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ดังนั้น คาดว่ากระบวนการต่างๆจะแล้วเสร็จในปลายปี 55 และจะขายหุ้น IPO ได้" นายสุเมธ กล่าว

*เตรียมความพร้อมรับซื้อรับโอนสินทรัพย์จาก บสท.

นายสุเมธ กล่าวว่า บริษัทเตรียมความพร้อมในการรับซื้อรับโอนสินทรัพย์จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.)ที่จะปิดองค์กรในเดือน มิ.ย.54 ซึ่งได้จัดทำแผนดำเนินการไว้แล้ว คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนประมาณ 15,000-16,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)วงเงิน 4,500 ล้านบาทและสินทรัพย์รอการขาย(NPA)วงเงิน 10,000 ล้านบาท

สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้เพื่อซื้อสินทรัพย์จาก บสท. ส่วนหนึ่งจะตั๋วเงิน และยังมี AMC Note วงเงิน 5,000 ล้านบาท ที่ค้างอยู่จาก บสท.ซึ่งจะมีการโอนทรัพย์สินมาหักกลบกัน

อย่างไรก็ตาม หลัง บสท.ปิดตัวลงนั้น บสก.จะรับซื้อรับโอนเฉพาะสินทรัพย์เท่านั้น แต่จะไม่รับโอนพนักงานจาก บสท.มาด้วย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีพนักงานเพียงพออยู่แล้ว 1,262 คน ขณะที่บริษัทจะมีการปรับระบบไอทีและเทคโนโลยี เพื่อลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ ให้รวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งการปรับโครงสร้างสายงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มคน

*ผลการดำเนินงานปี 53 และแผนงานปี 54

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 53 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิถึง 2,600 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,600 ล้านบาท จากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 2,400 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทสามารถขายทรัพยสินรายใหญ่ได้มาก คาดว่าสิ้นปีจะสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 11,000 ล้านบาท

ส่วนปี 54 ตั้งเป้ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 53 ประมาณ 200 ล้านบาท โดยมีแผนบริหารจัดการสินทรัพย์ 12,000 ล้านบาท ขณะที่จะมีการรับซื้อสินทรัพย์ทั้งที่รับโอนจาก บสท.และการซื้อสินทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะมากกว่าปกติ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(margin)ของบริษัทจะอยู่ที่ 15-20%

ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าในปี 54 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2-3% ส่วนเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตรา 4.2% โดยครึ่งปีแรกคาดว่าขยายตัว 3-4% และครึ่งปีหลังขยายตัว 4-5% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 10.5% และเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่อง โดยคาดว่าอยู่ที่ 27-29 บาท/ดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยคาดว่าอยู่ที่ 3-4% และอัตราเงินเฟ้อ 3-4% โดยประเมินกรณีที่รัฐบาลไม่มีการต่ออายุมาตรการช่วยค่าครองชีพประชาชน

บสก.มองว่า แม้ปีหน้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เชื่อว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการขายสินทรัพย์ของบริษัท เนื่องจากดอกเบี้ยของบริษัทอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีรายขายต่ำกว่า 2 ล้านบาท

*บริษัทพร้อมต่อยอดดำเนินโครงการพออยู่พอกิน กับที่ดิน บสก.

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บสก. กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทจะจัดโครงการพออยู่พอกิน ต่อยอดจากโครงการเดิม เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 84 พรรษา จึงจะจัดหาที่ดินของ บสก.จำนวน 84 แปลงทั่วประเทศ 84 ไร่ เพื่อจัดเป็นที่ดินทำกินให้ผู้ยากไร้ จำนวน 84 คน นำที่ดินที่จัดเตรียมให้ใช้ประกอบอาชีพ คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท /คน และเมื่อมีรายได้แล้วจะนำมาผ่อนชำระหนี้ค่าที่ดินที่จัดไว้ให้

"เราจะเลือกที่ดิน 84 แปลง 84 ไร่ ให้ผู้ยากไร้ 84 คน ซึ่งมาตัวเปล่า เราจะช่วยให้มีที่ทำกินประกอบอาชีพ อย่างน้อยมีรายได้ปีละ 1 แสนบาท เมื่อมีรายได้แล้วก็นำเงินมาผ่อนชำระค่าที่ดินกับเรา"นายสุเมธ กล่าว

ทั้งนี้ ณ เดือน ก.ย.53 บริษัทมียอดขายจากโครงการพออยู่พอกินฯ จำนวน 1,351 ไร่ มูลค่า 379 ล้านบาท ส่วนยอดขายจากโครงการที่ดินเกษตรกรรมเพื่อพืชเศรษฐกิจ บสก.มีจำนวน 2,817 ไร่ เป็นมูลค่า 252 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ