นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เปิดเผยว่า ในปี 55 บริษัทจะมีปริมาณการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตัน และยอดขาย 70,000 ล้านบาท หลังจากเข้าซื้อโรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ของ Corus UK Limited (Corus) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม Tata Steel Group เพราะสามารถผลิตวัตถุดิบหรือ เหล็กแท่งแบน (Slab) ได้เอง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสร้างสถิติสูงสุดใหม่ในการผลิตนับตั้งแต่เปิดดำเนินการมา
นอกจากนี้ราคาของสินทรัพย์ที่บริษัทจะเข้าทำการซื้อประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จากการประเมินมูลค่ายุติธรรม (Fair Value) เบื้องต้นโดยผู้ประเมินอิสระ คาดว่าคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนต่างของมูลค่านี้อาจสามารถรับรู้เป็นกำไรจากการซื้อสินทรัพย์ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าประเมินท้ายสุดและความเห็นจากผู้สอบบัญชี
"การเข้าลงทุนซื้อสินทรัพย์นี้จะประโยชน์ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ SSI หลายประการ ทั้งเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ปริมาณการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันในปี 2555 และส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 5.6 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาด" นายวิน กล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเพิ่มสัดส่วน สินค้าชั้นคุณภาพพิเศษจากเดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 70 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 15.3 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต (Inventory Management) ทำให้ลดปริมาณวัตถุดิบคงคลังจาก 60 วันเหลือเพียง 30 วัน ประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ 150 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบทางเรือต่อหน่วยลดลง 7.5 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากสามารถใช้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ (Panamax) ขนส่งวัตถุดิบคราวละ 60,000-70,000 ตัน
ส่วนการเพิ่มทุน 5,240 ล้านหุ้น จำหน่ายผู้ถือหุ้นเดิม และ บุคคลในวงจำกัด (PP) บริษัทคาดว่าจะระดมทุนได้ 6,000 ล้านบาท โดยกำหนดการจองซื้อหุ้นและการเพิ่มทุนนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนก.พ.54 สอดคล้องกับแผนการกู้เงินซึ่งจะแล้วเสร็จในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การเข้าไปซื้อสินทรัพย์เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 1/54
วัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนในการเข้าทำรายการซื้อสินทรัพย์โรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจของ SSI ที่มีความต้องการที่จะขยายกระบวนการผลิตไปยังอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กต้นน้ำเพื่อเป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตของเอสเอสไอในปัจจุบันและการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน