ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 18.46 จุด หลังธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 28, 2010 06:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางเมื่อคืนนี้ (27 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากทางการสหรัฐไม่ได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันจันทร์ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้เนื่องจากข่าวการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนเป็นความเคลื่อนไหวที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับลง 18.46 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 11,555.03 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.77 จุด ปิดที่ 1,257.54 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.67 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 2,667.27 จุด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์อ่อนตัวลงหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปี เป็น 5.81% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท 1 ปีเป็น 2.75% ภายหลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ของจีน ซึ่งเป็นดัชนีวัดภาวะเงินเฟ้อที่สำคัญ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนที่ 5.1% ในเดือนพ.ย. และยอดการปล่อยเงินกู้ใหม่ของธนาคารพาณิชย์พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.45 ล้านล้านหยวนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายตลอดปี 2553 ของรัฐบาลที่ระดับ 7.5 ล้านล้านหยวน

ทั้งนี้ แม้จีนมีเป้าหมายที่จะควบคุมภาวะเงินเฟ้อ แต่นักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมในตลาดการเงินพุ่งขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนด้วย

การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีขึ้นหลังจากนางอู๋ เสี่ยวเหลียน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวว่า จีนจะปรับปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบโดยรวมให้กลับสู่ระดับปกติ ด้วยการใช้เครื่องมือด้านนโยบายที่หลากหลาย นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้เปลี่ยนเป้าหมายจากการใช้"นโยบายผ่อนคลายระดับปานกลาง" ไปเป็นการใช้ "นโยบายที่รอบคอบ" เพื่อควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจีนจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและสภาพคล่องส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม นายเหลียน ปิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากแบงค์ ออฟ คอมมิวนิเคชันส์ คาดว่า จีนอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 หรือ 3 ครั้งเท่านั้น เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ความเสี่ยงที่กระแสเงินร้อนไหลเข้าสู่ประเทศนั้น เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนต้องการเข้ามาทำกำไรในส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและสหรัฐ

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดยังซบเซาเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากยังไม่เข้ามาซื้อขายในตลาด หลังจากตลาดสหรัฐปิดทำการในวันศุกร์ที่ 24 ธ.ค.เนื่องในวันคริสต์มาส และตลาดขาดปัจจัยชี้นำเนื่องจากทางการสหรัฐไม่มีกำหนดรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันจันทร์

อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และดัชนี S&P 500 สามารถปิดในแดนบวก ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ เนื่องจากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีนเป็นความเคลื่อนไหวที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ปิดบวก 9% จากข่าวที่ว่าบริษัทได้รับวงเงินกู้มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกาปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปิดบวก 2%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดย วันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนต.ค. และสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนธ.ค. วันพุธ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ชิคาโกเดือนธ.ค. และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ