PTL คาดงวดปี 53 กำไรกว่า 2 พันลบ.ทำนิวไฮ,สรุปขยาย Thick film ต้นปี 54

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 28, 2010 12:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.โพลีเพล็กซ์(ประเทศไทย)คาดว่ากำไรสุทธิในงวดปี 53(เม.ย.53-มี.ค.54) จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 100% ในงวดปีก่อนที่ทำกำไรสุทธิ 1,039 ล้านบาท ภายใต้คาดการณ์รายได้งวดปีนี้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 7.3 พันล้านบาท

บริษัทมั่นใจว่ารายได้และกำไรสุทธิในครึ่งหลังของงวดปี 53(ต.ค 53.-มี.ค.54)จะดีกว่างวดครึ่งแรกของปี 53(เม.ย.-ก.ย.53)ที่มีรายได้ 4.67 พันล้านบาทและกำไรสุทธิ 1,175 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงกว่า 45% และอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่า 25% ในงวดครึ่งปีแรก ตามความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเดือน ต.ค.-พ.ย.53 เป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะเดียวกันตลาดไม่มีซัพพลายใหม่เข้ามา

"กำไรสุทธิที่ผ่านมา 6 เดือนเติบโตเกิน 100% จากปีก่อน คาดว่าปีนี้จะมีกำไรมากกว่า 2 พันล้านบาท โดยไตรมาส 3 นี้จะมีผลประกอบการดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ไตรมาส 4 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 3"นายโรฮิท วาฮิททรา กรรมการผู้จัดการ PTL กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

สำหรับรายได้และกำไรในงวดปี 54(เม.ย.54- มี.ค.55)คาดว่าจะใกล้เคียงหรืออาจอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับงวดปี 53 เนื่องจากบริษัทยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา ขณะเดียวกันคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากปีนี้ ซึ่งประเมินว่าจะอยู่ระดับไม่เกิน 29 บาท/ดอลลาร์ จากปี 53 อยู่ระดับประมาณ 30 บาท/ดอลลาร์ รวมทั้งราคาวัตถุดิบทั้ง PTA และ MEG มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยบริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบดังกล่าวสัดส่วน 70% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด

"ปีหน้าสถานการณ์ไม่แตกต่างจากปีนี้ แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะลดลงจากปีนี้ เพราะต้นทุนสูงขึ้นจากวัตถุดิบที่เป็น MEG และ PTA มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น"กรรมการผู้จัดการ PTL กล่าว

PTL มีสัดส่วนการส่งออก 80% โดยฐานการผลิตในตุรกีจะป้อนตลาดยุโรปและสหรัฐ ส่วนไทย ส่งออกไปยังเอเชียแปซิฟิค ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีการนำเข้าวัตถุดิบในรูปเงินดอลลาร์สัดส่วน 70% เป็นการลดความเสี่ยงระดับหนึ่งและที่เหลือ 20-30% บริษัททำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

*เสนอบอร์ดขยาย Thick Film ปลายม.ค.-ต้นก.พ.54

นายวาฮิททรา กล่าวว่า ประมาณปลาย ม.ค.หรือ ต้น ก.พ.54 บริษัทจะได้ข้อสรุปหรือผลการศีกษาในการลงทุนขยายกำลังการผลิตแผ่นฟิล์มชนิด Thick Film ที่จะลงทุนในประเทศไทย ประเมินว่าจะต้องใช้งบลงทุนราว 50-100 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ จะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาต่อไป หากได้รับการอนุมัติจะใช้เวลา 2 ปีและคาดว่าจะเริ่มผลิตในไตรมาส 1-2 ของงวดปี 56

"แนวโน้มการลงทุนน่าจะเป็นการลงทุนขยายกำลังการผลิต Thick film เพราะบริษัทต้องการ diversify ไปกลุ่มที่ไม่ใช่บรรจุภัณฑ์(non packaging)และสนใจจะเข้าขยายตลาดกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าอุตสาหกรรมออกไปไม่ใช่แค่ตลาดบรรจุภัณฑ์มากกว่า"นายวาฮิททรา ให้เหตุผล

นอกจากนี้ ตลาด Thick film มีผู้ผลิตจำนวนน้อยอยู่ ซึ่งในไทยมี PTL เพียงรายเดียว ฉะนั้น อัตราการแข่งขันน้อยกว่าตลาด Thin film และการเข้าตลาด Thick film มีหลายปัจจัยทั้งเรื่องการลงทุนและเทคโนโลยี เพราะฉะนั้น บริษัทมองเห็นว่าเป็นตลาดที่น่าจะ advance กว่า และมีโอกาสที่จะเติบโตไปได้

ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิต Thin film หรือแผ่นฟิล์มบาง 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด 4.2 หมื่นตันในไทย ส่วนที่เหลือ 20% หรือราว 8.4 พันตันเป็นการผลิต Thick film ดังนั้น เมื่อขึ้นสายการผลิตใหม่เพื่อผลิต Thick film ก็จะทำให้สายการผลิตเดิมสามารถผลิต Thin film ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะรองรับความต้องการได้ทั้งสองตลาด อีกเหตุผลคือ กลุ่ม PTL ได้มีการลงทุนขยายกำลังการผลิต Thin film ไว้มากแล้วทั้งในตุรกี และอินเดีย

นอกจากนั้น กรณีที่ไทยมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA)ระหว่างอาเซียนและจีน จึงไม่มีกำแพงภาษีอีกต่อไป ดังนั้น ผู้ผลิตในจีนส่วนใหญ่ขยายกำลังการผลิต Thin film และมองว่าในอีก 2-3 ปี ข้างหน้าตลาด Thin film จะมีซัพพลายเต็มตลาด เพราะฉะนั้นจะทำให้ผลกำไรจะลดลง เพราะมีผู้ผลิตมาก จะมีการแข่งขันราคาสูง

ฉะนั้น การขยายการผลิต thick film จะทำให้บริษัทสามมารถกระจายกลุ่มลูกค้าไปกลุ่มอื่น ทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทคาดว่าความต้องการ Thin film ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งความต้องการเติบโต 10% ต่อปี ส่วน Thick film ความต้องการเติบโตปีละ 7-8%

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนขยายกำลังการผลิต Thin film ในตุรกี อีก 3.1 หมื่นตัน/ปี ลงทุน 79 ล้านเหรียญ เริ่มผลิตประมาณไตรมาส 1/55 กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 8.9 หมื่นตัน/ปี จากปัจจุบัน 5.8 หมื่นตัน/ปี ส่วนในไทยผลิตสินค้าใหม่ คือ ซิลิโคน โค้ตติ้ง ซึ่งเป็นสินค้าต่อยอด หรือเพิ่มมูลค่าสินค้า มูลค่าลงทุน 19.4 ล้านเหรียญ คาดจะเริ่มผลิตมิ.ย.54

*รุกขยายฐานผลิตเข้าจีน-แอฟริกาภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

กรรมการผู้จัดการ PTL คาดว่า ในปี 55 จะมีซัพพลายใหม่เข้ามาตลาดอีกประมาณ 4 แสนตัน/ปี โดยบริษัทได้เตรียมมือกับสถานการณ์ดังกล่าวโดยจะมุ่งไปในสินค้า downstream หรือสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น ซิลิโคน , ฟิล์มเคลือบลามิเนต(lamination film),ฟิล์มคุณภาพสูง, Thick film ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไร เนื่องจากสินค้ามูลค่าเพิ่มจะมีสัดส่วนสูงขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวมในปี 55 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 35% ส่วนอีก 50% จะเป็นสินค้ากลุ่ม commodity ได้แก่ Thin film

นอกจากนี้ บริษัทยังคงศึกษาตลาดใหม่เพื่อจะขยายข่องทางธุรกิจต่อไป เพื่อหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศใหม่ๆ อย่างจีนและแอฟริกา โดยเห็นว่าเป็นตลาดที่น่าลงทุน เพราะมีการเดิบโตสูง สำหรับแผนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายฐานการผลิตใหม่รองรับการเติบโตของตลาด และเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้ใกล้ที่สุด

"คงต้องมีการศึกษาการลงทุน หรืออาจเข้าลงทุนใหม่หรือควบกิจการ ซึ่งเราจะคอยหาโอกาสไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับการเติบโตของธุรกิจ จีนเป็น Focus ของเราเพราะเป็นตลาดเจริญเติบโตเร็ว เป็นตลาดที่น่าลงทุน และแอฟริกาที่กำลังเจริญเติบโต...แต่ในจีน คงไม่ง่ายที่เข้าไปซื้อกิจการเพราะคนเข้าไปมาก"นายวาฮิททรา กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทเทรดดิ้งในจีน ชื่อ บริษัท โพลีเพล็กซ์(เทรดดิ้ง)เซินเจิ้น จำกัด(PTSL)

PTL เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นฟิล์ม PET(แบบธรรมดาและเคลือบอลูมินียม) เม็ดพลาสติก แผ่นฟิล์มเคลือบอัดขึ้นรูป และแผ่นฟิล์ม CPP(แบบธรรมดาและเคลือบอลูมินียม)ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยมี Polyplex (ASIA)PTE.LTD(โพลีเพล็กซ์ คอร์ปอเรชั่นถือ 100%)ถือหุ้น 45.37% และบริษัท โพลีเพล็ซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในอินเดีย เป็นบริษัทแม่ ถือ 16.50%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ