โบรกฯ แนะรออ่อนตัว"ซื้อ"SSI มองรับผลดีระยะยาวหลังเข้าซื้อโรงถลุงเหล็ก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 28, 2010 14:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ ส่วนใหญ่ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี(SSI)เมื่อราคาอ่อนตัว เพราะมองว่าการเข้าซื้อโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Product(TCP)ของ CORUS ในอังกฤษ จะช่วยทำให้บริษัทมีการผลิตครบวงจร และต้นทุนการผลิตต่ำลง และสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบ(Slab)ได้คล่องตัวมากขึ้น

แต่ในระยะสั้น คือ ปี 54 คาดว่าผลประกอบการจะลดลงมากจากค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการดังกล่าว ทั้งภาระดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา กดดันกำไรสุทธิในปีหน้า โดยเฉพาะในไตรมาส 2/54 แต่คาดว่าจะเริ่มฟื้นในครึ่งหลังปี 54 และเห็นกำไรสุทธิโตชัดเจนในปี 55

รวมทั้งได้รับผล Dilution Effect จากการเพิ่มทุน PO จำนวน 2,620 ล้านหุ้น(สัดส่วน 5:1) สำหรับผู้ถือหุ้นเดิม และแบบ PP เฉพาะเจาะจงให้สถาบัน จำนวน 2,620 ล้านหุ้น ราคาจองซื้ออยู่ระหว่าง 1.20-1.40 บาท

อย่างไรก็ตาม ราคาในตลาดขณะนี้ใกล้ราคาเป้าหมาย จึงแนะรอจังหวะให้อ่อนตัวค่อยเข้าซื้อ

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย (บาท)
          บล.กิมเอ็ง           ซื้อ                1.80
          บล.ฟิลลิป           ซื้อเก็งกำไร          1.60
          บล.เกียรตินาคิน      กำลังทบทวน          1.48
          บล.ไอร่า           ซื้อเมื่ออ่อนตัว         1.35
          บล.ดีบีเอสฯ          เต็มมูลค่า           1.45

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ได้เปลี่ยนคำแนะนำจาก"ถือ"เป็น"ซื้อ"หุ้น SSI แต่ปรับราคาพื้นฐานเป็น 1.80 บาท จาก 2.00 บาท เป็นผลจาก Dilution Effect ประมาณ 11% จาการเพิ่มทุน 4,585-5,240 ล้านหุ้น เป็น 17,687-18,341 ล้านหุ้น เพื่อเตรียมเข้าซื้อสินทรัพย์โรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Product(TCP)ของ CORUS ซึ่งเป็นโรงงงานผลิตเหล็กแท่งแบน(SLAP)ในอังกฤษ เป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจของบริษัทไปยังอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ

"SSI เข้าซื้อโรงถลุงเหล็กซึ่งป็นการขยายต้นน้ำ ที่มีกำลังการผลิต 3.5 ล้านตัน/ปี สอดล้องกับกำลังการผลิต SSI ที่มีกำลังผลิตเหล็กรีดร้อน 4 แสนตัน/ปี จะช่วยทำให้บริษัทมีความคล่องตัวสูงในการวางแผนการผลิต ซึ่งที่ผ่านมา slab มีความผันผวนสูง"นายสุรชัย กล่าว

การเข้าซื้อสินทรัพย์โรงถุลงเหล็ก TCP จะส่งผลบวกต่อ SSI ได้แก่ สามารถซื้อด้วยราคาถูกเพียง 500 ล้านเหรียญ เทียบกับมูลค่าบริษัทที่ประเมินด้วยองค์กรอิสระเท่ากับ 820 ล้านเหรียญ, เพิ่มโอกาสทางการตลาด และ เป็นผู้นำการผลิตเหล็กในภูมิภาคอาเซียน, ขยายการผลิตไปสู่เหล็กต้นน้ำ ทำให้มีการผลิตแบบครบวงจร และ TCP จะเป็นแหล่งวัตถุดิบให้ SSI

รวมทั้งเพิ่มความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตผลจากการรวมกิจการในแนวดิ่ง, กระจายความหลากหลายทั้งตลาดและผลิตภัณฑ์ ช่วยต้านภาวะผันผวนของอุตสาหกรรมเหล็ก และลดระยะเวลาในการสั่งซื้อรวมถึงการเก็บสินค้าคงเหลือลง จาก 200 วัน เหลือ 120 วัน

อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงครึ่งแรกปี 54 ผลประกอบการจะไม่ดี โดยเฉพาะในไตรมาส 2/54 ที่อาจผลขาดทุนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซื้อกิจการ ค่าเสื่อม และดอกเบี้ยจ่าย แต่คาดว่าในตรึ่งปีหลังจะมีผลประกอบการดีขึ้น อย่างไรก็ดี กำลังประเมินตัวเลขผลประกอบการอยู่แต่คงไม่ขาดทุน เทียยกับปี 53 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.7 พันล้านบาท

ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)เห็นว่า ราคาตลาดขณะนี้ใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายที่ 1.45 บาท จึงให้ระดับเต็มมูลค่า ซึ่งหากราคาอ่อนตัวลงไปมาก หรือต่ำกว่า 1.20 บาท ก็เป็นโอกาสเข้าลงทุนได้ เพราะแนวโน้มในรยะยะยาวจะดีจากการเข้าซื้อกิกจารโรงถลุงเหล็กในอังกฤษ

ขณะที่ระยะสั้นผลที่ได้รับคือ ปี 54 จะมี Dilution effect จากการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและ PP ประมาณ 26% ในขณะที่กำไรสุทธิลดลงแรงเนื่องจากบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายมาก ทั้งภาระดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคา รวมกันมากกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี ทำให้กำไรสุทธิในปี 54 มาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท ลดลงจากปี 53 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท แม้ว่าจะมียอดขายมากว่าที่ 2.6 ล้านตันจากปี 53 ขายได้ 2.3 ล้านตัน

"แนวโน้มดีแต่ต้องใช้เวลา ปีหน้าเรามองว่าบริษัทที่อังกฤษจะมีผลขาดทุน ฉะนั้น เราเห็นว่าหันไปลงทุนหุ้นตัวอื่นที่มี outlook ดีในปีหน้าจะดีกว่า"นางสาวอาภาภรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี คาดว่า SSI จะฟื้นตัวได้เห็นกำไรอย่างชัดเจนในปี 55 รวมถึงประโยชน์การ synergy ร่วมกัน อย่งไรก็ดี อุตสาหกรรมเหล็กมีความผันผวนมาก ก็อาจจะทำให้ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าซื้อกิจการต้องล่าช้าออกไปอีก 2-3 ปี

ส่วนนางสาววิชชุดา ปลั่งมณี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ได้ปรับราคาเป้าหมายปี 54 มาที่ 1.48 บาท จากเดิมอยู่ที่ 2.15 บาท เพราะได้รับกระทบจากการเพิ่มทุน โดยจะเกิด Dilution Effect 28.5% และมองช่วงระยะสั้นผลประกอบการจะรับผลกระทบ และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 54 ไม่น่าจะดีกว่าปี 53 ที่คาดว่าจะมี 2.46 พันล้านบาท จากการมีต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายที่มาจากเงินกู้ 6 พันล้านบาท(200 ล้านดอลลาร์)ซึ่งอาจส่งผลให้ SSI มีโอกาสขาดทุน

แม้ว่าผู้บริหารระบุว่าปีหน้าคาดว่าจะมียอดขาย 3 ล้านตัน จากปีนี้ 2.3 ล้านตัน ภายใต้สมมติฐานที่สามารถผลิต Slab ผลิตได้ 90% แต่ในระยะยาวมองว่าการเข้าซื้อกิจการของบริษัทจะดีขึ้น จากการมีธุรกิจครบวงจร ซึ่งก็ต้องติดตามว่าจะสามารถผลิตได้ตามแผนของบริษัทหรือไม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ