นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) คาดว่า แนวโน้มรายได้ในปี 54 จะอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท เนื่องจากบริษัทและบริษัทในเครือมียอดขายเพิ่มขึ้น 10%
ในแง่กำไรสุทธิในปี 53 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ได้รับผลดีจากราคาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนั้น ธุรกิจปิโตรเคมีก็มีผลประกอบการดีขึ้น แต่ในส่วนของโรงกลั่นน้ำมันมีรายได้ลดลง ขณะที่ ปตท.ก็มีผลประกอบการเพิ่มขึ้น จึงทำให้ภาพรวมในปีนี้ดีขึ้นจากปีก่อน
สำหรับกรณีที่รัฐบาลมีแผนปรับแก้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 เพื่อป้องกันการมีอำนาจเหนือตลาดของผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานของ ปตท. โดยในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติก็มีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ควบคุมด้านกฎหมายอยู่แล้ว
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นยังคงมีการแข่งขันกันดำเนินธุรกิจ โดยจะต้องไปขอสัมปทานกับทางกระทรวงพลังงาน จึงไม่มีสิทธิพิเศษแต่อย่างใด ทั้งนี้ แม้ว่า ปตท.จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำมันอยู่ที่กว่า 30%, ถือหุ้นในโรงกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 30% และถือหุ้นในปิโตรเคมีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 30-40% แต่ก็พบว่าราคาจำหน่ายปิโตรเคมีและน้ำมัน ไม่มีผู้ประกอบการรายใดสามารถกำหนดได้ จึงเป็นไปตามการแข่งขันของตลาดโลก และเป็นไปตามอุปสงค์-อุปทาน ที่เกิดขึ้น
“ปัจจุบัน ปทต.ถือหุ้นในโรงกลั่น จำนวน 4 แห่ง จากจำนวนโรงกลั่นในประเทศ ทั้งสิ้น 7 แห่ง เชื่อว่าก็ไม่ได้ทำให้ ปตท. มีอำนาจเหนือตลาด เพราะในส่วนของโรงกลั่นบางจาก ก็มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง ปตท.ถือหุ้นอยู่ที่ 36% ซึ่งอำนาจการบริหารส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ บริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต สำหรับโรงกลั่นที่เหลือก็ต้องปฏิบัติตามกฎของ ก.ล.ต.เพราะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวถึงความคืบหน้าการควบรวมกิจการเครือ ปตท.ว่า ขณะนี้ ปตท. ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องการควบรวมกิจการ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อสรุปที่ชัดเจนได้ เพราะจะต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร แจ้งผู้ถือหุ้น และแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อน คาดว่าการควบรวมกิจการเครือ ปตท. จะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 1/54
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้ ปตท. มีอำนาจเหนือตลาด เพราะเป็นการควบรวมบริษัทเดิมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานมากขึ้น และมีต้นทุนลดลง แม้ว่า การนำบริษัทในเครือมาควบรวมกัน แต่ไม่น่าทำให้ ปตท. มีอำนาจเหนือตลาด
“ทิศทางการควบรวมกิจการเครือ ปตท. ยังเป็นทิศทางหลักที่เราต้องทำ เพราะก่อให้เกิดประโยชน์ และเป็นไปตามหลักสากลที่ทั่วโลกดำเนินการ เพราะช่วยลดต้นทุนให้กับบริษัท"นายประเสริฐ กล่าว