โบรกเกอร์เทเสียง แนะนำ"ซื้อ" หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) คาดแนวโน้มธุรกิจปี 54 ยังเติบโตต่อเนื่องจากปี 53 แม้จะไม่มีกำไรพิเศษจาการขายเงินลงทุนเหมือนปี 53 ประเมินกำไรสุทธิปี 54 ที่ระดับ 2.6-2.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 5-8% จากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 2.4-2.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 17 -22.5% จากปีก่อน
โดยคาดว่าในปี 54 สินเชื่อจะขยายตัวได้ประมาณ 4.5-5% และมีจุดเด่นที่มีลูกค้าขนาดใหญ่ ที่จะเติบโตจากโครงการจากงบไทยเข้มแข็ง โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
ที่สำคัญ ราคาหุ้น BBL ยังมีราคาถูกถ้าเทียบกับราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ด้วยกัน และยังมี upside อยู่มาก เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เอเซียพลัส ซื้อ 203.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 195.60 บล.ไอร่า ซื้อ 195.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 195.00 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 180.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 179.00
บล.เกียรตินาคิน คาดว่า BBL จะมีกำไรสุทธิในปี 54 จำนวน 25,079 ล้านบาท และมีการจ่ายปันผลสูงที่สุดในกลุ่ม ธ.พ. จำนวน 5 บาท/หุ้น ในปี 54 ทั้งนี้ BBL ยังมีจุดเด่นทางด้านสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
ในปี 54 BBL ตั้งเป้าจะปล่อยสินเชื่อเพิ่ม 5 — 7% ตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจที่ทาง BBL คาดว่า GDP จะขยายตัวประมาณ 4 — 5% โดยเรามองว่าในปี 54 นั้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะเติบโตขึ้นได้ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่นการก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่ฐานสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ของ BBL นั้นมีขนาดใหญ่ และมีการแข่งขันสูง จึงคาดว่า BBL จะปล่อยสินเชื่อในปี 54 ได้ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 4.5%
ด้านนางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่า กำไรสุทธิในปี 2553 จะดีที่สุด โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 25,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 22.5% YoY เพราะมีกำไรจากการขายหุ้น ACL (ICBCT) ในระดับสูง ส่วนปี 54 คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิจะไม่มากเนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษ โดยคาดจะมีกำไรสุทธิ 26,753 ล้านบาท เติบโต 5% YoY
ในปี 53 คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 4-5% ซึ่งน่าจะได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารประกาศไว้ โดยในเดือน ต.ค.- พ.ย.สินเชื่อเติบโต 3.2% จากสิ้นปี 52 ส่วนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) คาดได้ประมาณ 2.9-3.0% ขณะที่ปี 54 คาดสินเชื่อขยายตัว 5% แต่ผู้บริหารตั้งเป้าโต 6% อย่างไรก็มองว่า การขยายตัวสินเชื่อในจีนเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 53 มีสัดส่วน 19%ของสินเชื่อรวม
"เหตุผลที่แนะให้ซื้อ เพราะราคาหุ้น upside เหลือเฟือ และทิศทางธุรกิจปี 54 น่าจะเติบโตได้ดี และราคาถูกสุดในบรรดาแบงก์ใหญ่ด้วยกัน" นางสาวศศิกร กล่าว
ทั้งนี้ บล.ฟิลลิป ให้ราคาเป้าหมาย 195.60 บาท ซึ่งประเมินบน P/BV ที่ 1.6 เท่า (ROE=12.3%) ส่วนธ.ไทยพาณิชย์และ ธ.กสิกรไทย ให้ราคาเป้าหมายประเมินบน P/BV กว่า 2 เท่า
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี 53 คาด จะมีกำไรสุทธิ 24,400 ล้านบาท เติบโต 17% ซึ่งส่วนหนึ่งได้กำไรจากการขายเงินลงทุน รวมหุ้น ACL ประมาณ 4 พันล้านบาท และปี 53 สินเชื่อขยายตัว 3.5% และ NIM อยู่ที่ระดับ 2.95%
ส่วนในปี 54 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 26,000 ล้านบาท เติบโต 8% เพราะไม่มีกำไรพิเศษ ส่วนการขยายตัวของสินเชื่อคาดว่าในปีหน้าจะโต 5% และ NIM คาดอยู่ระดับ 3%
"ผมแนะนำให้ ซื้อ เพราะยังมี upside ผมเห็นว่าสินเชื่อรวมไม่เด่นมาก แต่ดูตัว P/BV ต่ำ อยู่ที่ 1.2 เท่าเอง ส่วน SCB KBANK อยู่ที่ 1.8-1.9 เท่า ฉะนั้นราคาหุ้นยังต่ำกว่าโอกาสราคาจะดีกว่านี้ ภาพโดยรวม BBL ก็ยังดี" นายธนัท กล่าว