นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่าทิศทางราคาทองคำสัปดาห์นี้ ยังให้เป้าหมายของการปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 1,432 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 20,360 บาท/บาททองคำ ซึ่งถือว่าเป็นแนวต้านสำคัญ หากผ่านไปได้จะมีแนวต้านสำคัญต่อไปอยู่ที่ 1,452 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตามในระยะสั้นยังคงต้องจับตาแนวรับบริเวณ 1,400-1,408 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือว่าเป็นแนวรับที่มีความสำคัญ หากราคาทองคำลงมาบริเวณนี้แล้วมีการดีดตัวขึ้นได้จะทำให้โอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบด้านบนจะมีสูงทันที แต่หากราคามีการอ่อนตัวหลุดแนวรับดังกล่าวลงไปการดีดตัวขึ้นมาอีกครั้งนักลงทุนอาจต้องระวังแรงขายทำกำไรให้มากขึ้น คาดกรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,390-1,432 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 19,760-20,360 บาท/บาททองคำ
ทั้งนี้หลังจาก เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 53 ราคาทองคำปรับตัวสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1,419.45 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่เงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าตลอดทั้งสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการถือครองเงินสกุลดออลลาร์หลังจากที่มีการรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐที่ออกมาลดลง ประกอบกับ ตัวเลขจำนวนแบงก์ล้มละลายในสหรัฐฯยังคงปรับตัวสูงขึ้น
โดยนักลงทุนไปเน้นการถือพันธบัตรของสหรัฐและทองคำ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซนยังคงเป็นเหตุผลหลักให้นักลงทุนกล้าถือทองคำนอกจากนี้ปัญหาการว่างงานของสหรัฐฯที่ยังคงตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้มาตราการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2) ยังเป็นประเด็นที่ผลักดันราคาทองคำ อย่างไรก็ตามการที่ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา อาจทำให้เสถียรภาพของราคาทองคำมีค่อนข้างน้อยและจะทำให้ราคาทองคำมีความอ่อนไหวต่อข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่ความผันผวนที่สูงขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีความกังวลถึงการเคลี่อนย้ายเงินทุนจากทองคำไปสู่ตลาดทุน เนื่องจากการคาดการณ์ถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มกลับมาดีอีกครั้งอาจกดดันราคาทองคำในระยะสั้นนี้ได้ ในขณะที่ประเด็นการอ่อนค่าของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และการปรับตัวเพิ่มขึ้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นประเด็นที่จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตามแนะนำให้นักลงทุนติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ธ.ค. ที่จะออกมาในวันศุกร์ที่ 7 ม.ค.54 โดยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่ง