นางสาวรำภา คำหอมรื่น ประธานเจ้าหน้าฝ่ายการเงิน และ รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้อนุมัติให้บริษัทกู้เงิน 3.85 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทยจำนวน 42 สาขา เป็นมูลค่า 3.54 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ขยายสาขาเพิ่มเติม
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในต่างประเทศ 3 แห่ง หรือใช้วงเงินกู้สกุลเงินบาทภายในประเทศ แต่อัตราดอกเบี้ยจะต้องไม่เกิน 4.5%
"คาดว่าการเจรจาจะได้ดอกเบี้ยในระดับที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น โดยการกู้เงินมีเงื่อนไขกับสถาบันการเงินว่าจะต้องไม่กระทบต่อการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น"นางสาวรำภา กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวจะชำระคืนได้ครบทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งหากการควบรวมกิจการแล้วเสร็จจะทำให้ BIGC มีรายได้เติบโต 40% หรือมาอยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท จากรายได้ในปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท/ปี และกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)จะเติบโต 5% ในปีแรกของการควบรวมกิจการ และในปีที่ 3 จะเติบโตอีก 20%
การซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 2.5 เท่า แต่หากพิจารณาแผนการคืนหนี้แล้วเชื่อว่า D/E จะปรับลดลงมาเรื่อย ๆ และสำหรับธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต DE ที่ 2.5 เท่าก็ไม่ถือว่าสูง
นางสาวรำภา กล่าวอีกว่า แม้ว่า BIGC จะมีสาขาทั้งหมด 71 สาขา และเมื่อซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทยแล้วจะได้สาขาเพิ่มเข้ามาอีก แต่ก็ไม่มีแผนจะปิดสาขาใดในพื้นที่ที่มีสาขาอยู่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่สาขาของ BIGC อยู่ในเขตปริมณฑลและต่างจังหวัด ขณะที่คาร์ฟูร์มีสาขาอยู่ใจกลางเมือง เชื่อว่าหากมีการรวมกิจการจะเพิ่มประโยชน์ในการครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นมากกว่าความซ้ำซ้อน
ทั้งนี้ การเปลี่ยนป้ายชื่อห้างคาร์ฟูร์และปรับปรุงภาพลักษณ์ของสาขาทั้งหมดคาดดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
ส่วนแผนการขยายไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ของ BIGC จะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง แต่อาจจะลดลงจากที่เคยตั้งเป้าไว้ 5 สาขาต่อปี เหลือ 2-4 สาขาต่อปี แต่แผนการเปิดสาขามินิบิ๊กซีหรือสาขาย่อยยังคงเดิม
สำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสนอให้ใช้แนวทางการเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องหุ้น BIGC ในตลาด และระดมทุนนั้น คณะกรรมการบริษัทชี้แจงว่าการกู้ยืมเงินเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในแง่ของต้นทุนและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ส่วนการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องหุ้นนั้นบริษัทจะนำมาพิจารณาอีกครั้งภายหลังการควบรวมกิจการกับคาร์ฟูร์แล้วเสร็จ