นายวิบูลย์ โลหะชุนสิริ ผู้จัดการอาวุโสแผนกพัฒนาธุรกิจ บมจ.น้ำมันพืชไทย(TVO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 54 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตตามปริมาณการใช้ถั่วเหลืองที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปี 53 ที่มีปริมาณการใช้ถั่วเหลือง 1.10-1.15 แสนตัน/ปี การทำกำไรสุทธิของบริษัทก็น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% โดยที่รักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit)ที่ 9-11% เท่าปี 53
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 53 คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 1,200 ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนมีผลกำไรสุทธิรวมกว่า 950 ล้านบาท โดยลดลงจากปี 52 ที่มีกำไร 1,630 ล้านบาท เนื่องจากปี 52 เป็นปีที่มีกำไรพิเศษจากการตีกลับผลกำไร inventery loss ของปีก่อนหน้าประมาณ 400-500 ล้านบาท
"ส่วนผลประกอบการไตรมาส 4 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิมากกว่าไตรมาส 3 แต่จะมากเท่าไตรมาส 2 หรือไม่ตอนนี้ยังไม่ได้สรุปตัวเลข...ช่วงไตรมาส 3 มีปัญหาเรื่องกากถั่วเหลืองล้นตลาดทำให้ราคาภายในต่ำกว่าราคาตลาด และอาจจะมีผลต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 4 ด้วย...ปีนี้ตลาดยังโต ความต้องการน้ำมัน กากถั่วเหลืองยังมี การทำกำไรของเราก็โตจากวอลุ่ม หากเรารักษา gross margin ได้ที่ 9-11%" นายวิบูลย์ กล่าว
นายวิบูลย์ ประเมินว่า ภาวะตลาดถั่วเหลืองในปี 54 น่าจะดีขึ้นจากความต้องการใช้ถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาวัตถุดิบได้ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าราคาถั่วเหลืองจะปรับขึ้นอีกประมาณ 10-15% เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้นทั้งข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง สาเหตุจากแรงเก็งกำไร อาจทำให้ราคามีความผันผวน ประกอบกับ ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลกเกิดปัญหาภัยแล้ง ทำให้ซัพพลายลดลง
ปัจจุบันราคาถั่วเหลืองในตลาดชิคาโก อยู่ที่ 13.70 ดอลลาร์/บุชเชล จากปกติราคาถั่วเหลืองอยู่ที่ประมาณ 11.90 ดอลลาร์/บุชเชล และคาดว่าในปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 13-14 ดอลลาร์/บุชเชล และจะเป็นราคาที่มีความผันผวนมากจากแรงเก็งกำไรทำให้ต้องมีการบริหารความเสี่ยงและติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด แต่หากพื้นที่ปลูกในอาร์เจนตินามีความเสียหายรุนแรง อาจเห็นราคาถั่วเหลืองสูงถึง 16.00-16.50 ดอลลาร์/บุชเชลได้
และต้นทุนที่การผลิตที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้บริษัทต้องมีการปรับขึ้นราคาขายน้ำมันถั่วเหลืองด้วย โดยจะมีการหารือกับโรงสกัดน้ำมันก่อน และหารือกับกรมการค้าภายในต่อไป ส่วนราคากากถั่วเหลืองจะมีการปรับขึ้นหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาด เพราะหากกากถั่วเหลืองล้นตลาด การปรับราคาคงทำได้ยาก
ขณะนี้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองขายปลีกของบริษัทอยู่ที่ขวดละ 46 บาท ปรับขึ้นจากต้นปี 53 ที่อยู่ที่ขวดละ 40-42 บาท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเพดานราคาอยู่ที่ 49.50 บาท ยังมีช่องว่างที่จะปรับราคาขึ้นได้
"เราพยายามตรึงราคาให้นานที่สุด แต่ถ้าราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับขึ้น เราก็ต้องปรับตามกลไกตลาด เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานของรัฐบาล"นายวิบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้านั้น ยอมรับว่าจะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย แต่ไม่สามารถประเมินตัวเลขที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากในบางอุตสาหกรรมไม่สามารถใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันปาล์มได้ แต่ในภาคครัวเรือนสามารถใช้ทดแทนกันได้
ทั้งนี้ ในปี 54 บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนใดๆ เพิ่มเติม หลังจากปลายปี 53 ได้มีการลงทุนสร้างโรงงานเรซิตินเพื่อผสมในอาหารสัตว์วงเงินลงทุน 60 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ ซึ่งไม่ได้สร้างรายได้ให้บริษัทมากนัก แต่เป็นการเพิ่ม value added สินค้า
ส่วนการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 53 บริษัทยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ แต่โดยเฉลี่ยบริษัทจะจ่ายในอัตรา 70% ของกำไรสุทธิ