นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไพลอน(PYLON) เปิดเผยว่า รายได้ปี 54 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา หรือแตะ 1 พันล้านบาท เติบโตมากกว่า 50-60% จากปี 53 โดยรายได้ในปีนี้มาจากงานในมือที่มีอยู่แล้วประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ 70-80% ของมูลค่างานทั้งหมด
ประกอบกับ ทิศทางธุรกิจทั้งงานรับเหมาก่อสร้าง งานฐานราก และงานแนวราบ(งานโยธา) ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมีงานที่อยู่ระหว่างยื่นประมูลอีกราว 500-600 ล้านบาท แบ่งเป็นงานแนวราบ(งานโยธา) 300-400 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงานรับเหมาก่อสร้าง และงานฐานราก
ทั้งนี้ ภายในสัปดาห์หน้าบริษัทคาดว่าจะได้รับงานใหม่มูลค่า 100 กว่าลบ. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประเภทรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก
"การแข่งขันปีนี้น้อย ถือว่าดีกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา demand มีมากขึ้น ส่วน supply ก็น้อยลง หลังมีโครงการรถไฟฟ้าก็ทำให้มีโครงการใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ demand ตัวธุรกิจเพิ่มขึ้นเยอะ อย่างสายสีม่วงที่เริ่มทำเมื่อกลางปี 53 ก็ดึง supply การทำงานของตลาดฯออกไป 40% ทำให้การแข่งขันทั่วไปลดลง
ส่วนปีนี้ก็จะมีสายสีน้ำเงิน ซึ่งก็ได้ผู้รับเหมาไปแล้ว เหลือรอเซ็นสัญญา คิดว่างานน่าจะเริ่มได้กลางปี ซึ่งในส่วนของเราก็ได้มีการเข้าไปคุยกับผู้รับเหมาแล้ว เขาก็ให้เราเสนอราคาเข้าไปก็ต้องรอผล"นายบดินทร์ กล่าว
นายบดินทร์ กล่าวถึง แนวโน้มรายได้ปี 53 ว่าจะเติบโตมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 600 ล้านบาท แม้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีบริษัทฯจะมีกำไรต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง แต่เมื่อปัญหาการเมืองและเรื่องมาบตาพุดคลี่คลายก็ทำให้มีงานเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/53
"9 เดือนแรก ถ้าเทียบกับผู้ประกอบการที่ทำฐานรากด้วยกันส่วนใหญ่เขาขาดทุน แต่เรายังมีกำไรได้ ถึงแม้จะต่ำกว่าช่วงปี 52 แต่ก็มั่นใจว่ารายได้และกำไรทั้งปีน่าจะโตกว่าปี 52"นายบดินทร์ กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 54 จะมาจากงานรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก 70% และงานงานแนวราบ(งานโยธา) 30% ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของงานแนวราบ(งานโยธา) จะมากกว่างานรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก
"งานแนวราบอยู่ในโครงสร้างรายได้ของเราตั้งแต่ปี 52 คิดว่าจะเห็นเติบโตชัดเจนในปี 54 ก็คาดว่าสัดส่วนรายได้งานแนวราบปี 54 อยู่ที่ 30% ของรายได้รวม ก่อนหน้านี้ปี 53 อาจสัก 10% ในอนาคตสัดส่วนแนวราบภายใน 3-5 ปี ข้างหน้าน่าจะมากกว่างานฐานราก แต่ไม่ได้หมายความว่ามาร์จิ้นดีกว่า แต่มีไซส์ตลาดใหญ่กว่างานฐานราก" นายบดินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯจะพยายามรักษาสัดส่วนรายได้ที่มาจากงานภาครัฐและเอกชนไว้ที่ 50% ต่อ 50% แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 54 แนวโน้มงานภาครัฐจะมีมากกว่างานภาคเอกชน หลังรัฐบาลมีการผลักดันงบประมาณออกมาค่อนข้างมาก
ด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นในขณะนี้ก็คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯมากนัก เพราะอย่างงานรับเหมาก่อสร้างงานฐานรากซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานระยะสั้นจึงทำให้ความผันผวนมีไม่มาก และโดยปกติแล้วถ้าบริษัทฯได้รับงานก็จะมีการล็อกราคาวัตถุดิบต่างๆไว้เลย
ส่วนแผนการขยายงานไปในประเทศเพื่อนบ้านบริษัทฯก็ยังไม่เน้น แม้ว่าจะมีหลายประเทศที่ติดต่อเข้ามา เนื่องจากมองว่ายังมีความเสี่ยง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องมีการหาพันธมิตร ประกอบกับงานในประเทศก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก