นายมั่น พันธโนทัน รมช.คลัง ในฐานะ อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)กล่าวถึงกรณีที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาผลสรุปของคณะกรรมการมาตรา 22 ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ที่ตรวจสอบสัญญาสัปทานระหว่าง บมจ.ทีโอที กับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ว่าเป็นการแก้ไขสัญญาปรับลดส่วนแบ่งรายได้ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อบมจ.ทศท.(ทีโอที)ว่า ในฐานะ อดีต รมว.ไอซีที สนับสนุนแนวคิดปรับขึ้นการจัดเก็บส่วนแบ่งรายได้กลับคืนมาเป็น 30% เช่นเดิม
แต่ไม่เห็นด้วยที่จะมีการเอาผิดในลักษณะการฟ้องร้องเรียกค้าเสียหาย ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และ กระทบกับตลาดหุ้น รวมถึงกระทบการลงทุน เนื่องจากขณะนี้ต่างชาติ ให้ความสนใจเกี่ยวกับนโยบายบรอดแบนด์ของไทย ซึ่งเทคโนโลยีก็ยังต้องอาศัยจากต่างชาติ
นายมั่น มองว่าที่ผ่านมา การที่มีการปรับลดส่วนแบ่งรายได้ลงมา ถือว่าได้สร้างประโยชน์มากกว่า ซึ่งภาครัฐได้ประโยชน์จากการที่มีผู้ใช้บริการมือถือมากขึ้นจากปัจจุบันไปถึง 68 ล้านเลขหมาย ขณะที่ผู้บริโภคได้รับบริการที่ถูกลง แต่หากปรับขึ้นส่วนแบ่งรายได้ อาจทำให้ผู้บริโภค ต้องใช้บริการในราคาที่สูงขึ้น เพราะผู้ให้บริการอาจมีการผลักภาระขึ้น
ทั้งนี้ มองว่ากระทรวงไอซีทีควรจะเรียกผู้ประกอบการมาเจรจาก่อนที่จะดำเนินการฟ้องร้อง ที่คงต้องใช้เวลาดำเนินการอีกนาน เพราะคงต้องมีการตั้งอนุญาโตตุลาการดำเนินการ ส่วนจังหวะเวลาการฟ้องร้อง มองว่าควรดำเนินการก่อนหมดอายุสัญญา จึงเรียกมาหารือเพื่อไกล่เกลี่ย
"การเอาผิดผู้ทำผิดตามมาตรา 22 หากทำตอนนี้เป็นห่วง ไม่อยากให้ทำตอนนี้ เพราะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังมีความสำคัญกับประเทศ อาจจะกระทบการลงทุนอุตสาหกรรมนี้ได้และกระทบตลาดหุ้น เห็นว่าควรที่จะเรียกโอเปอเรเตอร์มาหารือพูดคุยกันก่อน มากกว่าจะไปฟ้องร้อง ควรใช้การเจรจามากกว่า" นายมั่น กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงไอซีทีเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ตนเองจะเสนอความเห็นในลักษณะนี้ต่อที่ประชุมครม.เช่นเดียวกัน