นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำได้ปรับลดลงไปแล้ว 50.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งวายแอลจีมองว่าราคาทองคำอาจมีการปรับขึ้นได้บ้างหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls)ที่ออกมาต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์
แต่ในระยะกลางนั้นราคาทองคำน่าจะยังคงปรับตัวลดลงจากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 2.59% เนื่องจากการณ์คาดการณ์ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าในระยะยาวแล้วทางวายแอลจียังมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำอยู่มากก็ตาม
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ วายแอลจีแนะนำให้นักลงทุนซื้อขายภายในกรอบราคา 1,344-1,396 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 19,280-20,040 บาท/บาททองคำ เนื่องจากราคาทองคำมีลักษณะการแกว่งตัวแบบ SIDE WAY ดังนั้น จึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 1,388-1,396 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 19,920-20,040 บาท/บาททองคำ ซึ่งถ้าราคาดีดตัวไม่ผ่านแนวต้านอีกครั้ง นักลงทุนอาจต้องระวังแรงขายทำกำไรที่มากขึ้น
โดยหากแนวรับสำคัญ 1,352 ดอลลาร์ต่ออนซ์ไม่สามารถรับอยู่ ราคาอาจมีการปรับฐานย่อตัวลงมา ทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,344 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนักลงทุนระยะยาวชะลอการเข้าซื้อทองคำออกไปก่อนจนกว่าตลาดจะมีการปรับฐานอีกครั้ง ในส่วนของนักลงทุนระยะสั้นให้เก็งกำไรในกรอบราคา
นางสาว ฐิภา กล่าวว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในสัปดาห์นี้ ยังคงเป็นแนวโน้มค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ ดุลการค้า ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกระทบโดยตรงกับการคาดหวังของนักลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หากตัวเลขต่างๆออกมาดีขึ้น ทองคำจะถูกลดความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลงอีก ในขณะที่ค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องก็เป็นประเด็นสำคัญ โดยในวันพุธนี้ กนง.จะมีการประชุมซึ่งนักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด