นางสาวปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทคาดว่าจะกำไรสุทธิจะเติบโตมากกว่าที่ประมาณการไว้ในระดับ 20% เนื่องจากในปีนี้จะมีการโอนโครงการ St.Rigis จำนวนมาก โดยราคาอยู่ในระดับสูงที่ 150-200 ล้านบาท/ยูนิต และมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง ทำให้เชื่อว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ในด้านธุรกิจโรงแรม บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักในระดับ 63% สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 54-55% แต่เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเมือง อัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือเคยสูงถึง 70% ดังนั้น ถือว่าธุรกิจโรงแรมยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติจากที่มีปัญหามาตั้งแต่ปี 51
ส่วนธุรกิจอาหาร บริษัทยังเน้นการเติบโต เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ
ดังนั้น บริษัทจึงได้มีการปรับงบลงทุนในแผน 5 ปี(54-58) ที่กำหนดวงเงินไว้ 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่จะลงทุนในธุรกิจอาหารเพียง 20% และเน้นหนักในธุรกิจโรงแรมถึง 80% เนื่องจากโรงแรมมีการลงทุนสูง ต่อ 1 โรงแรมใช้เงินลงทุน 3-5 พันล้านบาทและกว่าจะคืนทุนต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี ซึ่งในแผนใหม่จะปรับมาเน้นลงทุนในธุรกิจอาหารมากขึ้นเป็น 60%
แต่บริษัทก็ยังจะเน้นการเติบโตของรายได้ในธุรกิจโรงแรม โดยเน้นการรับบริหารและร่วมเป็นพันธมิตรกับโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย และ แอฟริกา