นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ สายงานวิจัย กล่าวในการสัมมนา"คัดหุ้นเด่น เฟ้นหุ้นดี ปีกระต่าย"ว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณอาจจะลดน้อยลงจากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มฟื้นตัวขึ้น และค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าอัตราผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ประมาณ 15% จากค่าเฉลี่ยในเอเชียที่ประมาณ 20% โดยมองว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าไปในตลาดหุ้นเอเชียเหนือมากขึ้น เช่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน แต่ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ทั้งเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอยู่ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโต
นายสุกิจ แนะนำหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มแบงก์ ที่จะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและการลงทุนของภาคเอกชนที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 7% แนะ KBANK และ KTB ส่วนแบงก์กลาง แนะTISCO, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะ AMATA, กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก แนะ HANA และ SAT ที่จะได้รับประโยชน์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงเติบโต
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลออกในช่วงนี้มองว่าเป็นเพียงแค่การปรับพอร์ต ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานนัก และเป็นแค่การขายเพื่อลดความเสี่ยงหลังเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มกลับมาฟื้นตัว แต่ทั้งนี้ยังมีประเด็นเรื่อง QE2 และสภาพคล่องในตลาดที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยบวก คาดว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกจะแกว่งตัว sideway up กรอบกว้าง
แต่ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดฯมีโอกาสแกว่งตัวลงได้ จึงต้องระมัดระวัง ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสหลุด 1,000 จุด ภายในช่วงปลายไตรมาส 2/54
หุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้ แนะหุ้น Domestic Play ทั้งกลุ่มสื่อ GRAMMY MAJOR THCOM, กลุ่มรับเหมาซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งและการประมูลงานต่างๆที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง แนะ STEC, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะ AMATA, กลุ่มแบงก์แนะ KTC, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แนะ SMT KKC, กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เน้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร แนะ STA ที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคายางขาขึ้น และ KSL ที่ราคาน้ำตาลมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปีก่อนและความต้องการที่มีสูงในหลายประเทศ
ขณะที่ น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปีนี้มองว่าในครึ่งปีแรกหุ้นที่สามารถลงทุนได้คือหุ้น Big cap. ทั้งพลังงาน ปิโตรเคมี แบงก์ โดยกลุ่มพลังงานจะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น คาดปีนี้มีโอกาสแตะ 100 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลตามความต้องการยังสูง โดยเฉพาะสหรัฐและจีน แนะ TOP คาดกำไรปีนี้ออกมาดี , PTTCH ถือเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี และยังมีปัจจัยบวกเรื่องการควบรวมกิจการกับ PTTAR แต่ยังต้องติดตามการขายหุ้นของ SCC ว่าจะมีออกมาเพิ่มเติมหรือไม ส่วนกลุ่มแบง์ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะ BBL
ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและลงทุนในประเทศก็น่าสนใจสามารถซื้อหรือถือได้ ทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้าและการก่อสร้างโรงไฟฟ้า แนะ STEC มองว่าปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไร, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมแนะAMATA, กลุ่มสินค้าเกษตรแนะ STA หลังแนวโน้มความต้องการยางพาราในตลาดโลกมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผลผลิตกลับขาดแคลน รวมทั้งกลุ่มสื่อ MAJOR ที่จะได้ปัจจัยบวกจากการฉายภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาค 3 และ 4 ส่วน น.ส.วราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า เศรษฐกิจเอเชียภาพรวมยังแข็งแกร่งกว่าในสหรัฐฯและยุโรป ประกอบกับการอัดฉีดเม็ดเงิน QE2 ของสหรัฐฯ ก็น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งแรกนี้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนั้นมองว่าตลาดจะเริ่มมีความผันผวนมากขึ้น โดยปัจจัยที่จะต้องติดตามคือเรื่องเศรษฐกิจของสหรัฐฯว่าจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ , การอัดฉีดเม็ดเงินพิเศษจากธนาคารกลางสหรัฐ และแนวโน้มเศรษฐกิจของเอเชีย โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ
หุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มสื่อ แนะ MAJOR, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนะ SMT และ HANA กลุ่มที่อยู่อาศัยแนะนำ PS