ฟิทช์ปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศ BAFS เป็น A+ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday January 15, 2011 09:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไท) จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาวของบมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เป็น A+(tha) จาก A-(tha) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น เป็น F1(tha) จาก F2(tha) และแนวโน้มเครดิตปรับเป็น มีเสถียรภาพ จาก เป็นบวก

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงผลประกอบการและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ต่ำ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ (เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน) มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า ตั้งแต่สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 และจากแผนการลงทุนในปัจจุบันของบริษัทฯ BAFS น่าจะสามารถดำรงอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.0 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ค่าเช่า และเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิ์ (Fixed Charge Coverage) ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 10.0 เท่า ได้อย่างต่อเนื่อง

รายได้ของ BAFS เริ่มกลับมามีอัตราการเติบโตที่เป็นบวกในปี 2553 โดยฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้ในปี 2553 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 8 ถึงร้อยละ 9 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารและปริมาณการเดินทางทางอากาศ รวมถึงการไม่ต่ออายุการให้ส่วนลดค่าบริการคลังเก็บน้ำมัน (Storage Fee) ที่เคยให้กับลูกค้าซึ่งครบกำหนดไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553

ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR margin) ของ BAFS ค่อนข้างคงที่อยู่ในระดับร้อยละ 60 อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2552 และ 2553 โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า 12 เดือนล่าสุด (Net Adjusted Debt/last 12 months (LTM) EBITDAR) ลดลงมาอยู่ในระดับ 1.6 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2553 จาก 2.3 เท่า ณ สิ้นปี 2552

ในปี 2554 ปริมาณการเดินทางทางอากาศคาดว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในปี 2553 ผู้โดยสารจากประเทศจีน เกาหลี และอินเดียเป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนอัตราการเติบโตของปริมาณการเดินทางทางอากาศเข้าและออกจากประเทศไทย และคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงต่อเนื่องในปี 2554 เนื่องจากอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Growth) ของประเทศเหล่านี้คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาที่สำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าและออกจากประเทศไทย

อันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในการให้บริการน้ำมันอากาศยานอย่างครบวงจรในประเทศไทย โดย BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเป็นผู้ให้บริการหลักในส่วนของบริการเติมน้ำมันอากาศยาน (Into-Plane Service) ณ ท่าอากาศยานดังกล่าว โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการเติมน้ำมันอากาศยานประมาณร้อยละ 88 นอกจากนี้ อุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานยังค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับการอนุญาตจากท่าอากาศยานนั้นๆ เท่านั้น

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงโครงสร้างรายได้ของ BAFS ซึ่ง BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น ดังนั้น BAFS จึงไม่ต้องแบกภาระความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน นอกจากนี้ต้นทุนหลักของ BAFS ได้แก่ค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่ ดังนั้นผลประกอบการของ BAFS ในระยะยาวจึงเป็นไปตามปริมาณการเดินทางทางอากาศที่อาจคงตัวหรือเพิ่มขึ้น (ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ) ในทางตรงกันข้าม BAFS อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ทำให้ปริมาณการเดินทางทางอากาศเกิดความชะงักงันเช่น โรคระบาด เหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง เป็นต้น

ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่ลดทอนอันดับเครดิต เนื่องจากอาจส่งผลให้ปริมาณการเดินทางเข้าออกประเทศไทยลดลง แม้จะมีมาตรการและแผนรองรับเตรียมไว้บางส่วนแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากเหตุการณ์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

ด้วยขนาดของธุรกิจและระดับการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจของ BAFS ในปัจจุบัน ฟิทช์มองว่า อันดับเครดิตที่ A+(tha) น่าจะเป็นอันดับเครดิตสูงสุดที่บริษัทฯ สามารถจะได้รับ ดังนั้นการปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศของ BAFS ภายในสองถึงสามปีข้างหน้า จึงมีความเป็นไปได้น้อย ในขณะที่การลงทุนจำนวนมากโดยใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุน และการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 2.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ