ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อนุญาตให้ธนาคารไทยเครดิตฯ เข้าลงทุนใน บง.สินอุตสาหกรรม(SICCO)และบริษัทที่เกี่ยวข้อง อาทิ บล.ซิกโก้(SSEC) รวมทั้งเห็นชอบในหลักการโครงการรับโอนกิจการจาก SICCO ตามเงื่อนไขของสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างธนาคารไทยเครดิต และธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ที่ได้ร่วมลงนามเมื่อวันที่ 31 ส.ค.53
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวว่า ธปท. ได้อนุญาตให้ธนาคารไทยเครดิตเข้าลงทุนใน SICCO โดยตามแผนการดำเนินการตามนโยบายสถาบันการเงิน 1 รูปแบบ (One Presence) ที่ต้องคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ธนาคารไทยเครดิตเข้าเป็นผู้ถือหุ้นของ SICCO โดยให้ธนาคารไทยเครดิตและ SICCO เสนอโครงการแสดงรายละเอียดแผนการรับโอนกิจการเพื่อขอความเห็นชอบต่อ ธปท. ตามกฎหมาย ต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ธนาคารได้เข้าตรวจสอบกิจการครั้งที่ 2 ในช่วงประมาณไตรมาส 4/53 แล้วนั้น ธนาคารได้นำเสนอผลการตรวจสอบต่อ SCB ในเรื่องการพิสูจน์ความมีตัวตนของสินทรัพย์ที่มีผลบังคับทางกฎหมายได้ และความเสียหายหรือผลกระทบอื่นใดที่มีผลเสียหายอย่างมีนัยสาคัญต่อ SICCO ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ปรับลดราคาลงได้ตามเงื่อนไขของสัญญาซื้อขายหุ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้พิจารณาไม่ปรับลดราคาเสนอซื้อลงไปจากราคาหุ้นละ 4 บาท ด้วยเรื่องผลการตรวจสอบดังกล่าว เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นทุกคน อันจะเป็นการเพิ่มโอกาสของความสาเร็จของการซื้อขายหุ้นนี้
อนึ่งหากมีกรณีที่ SICCO มีมติจ่ายเงินปันผลไม่ว่ารูปแบบใดๆ โดยมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ก่อนหรือในวันที่ธนาคารไทยเครดิตรับโอนหุ้น ราคาซื้อหุ้นจะหักด้วยเงินปันผลดังกล่าว
นายมงคล กล่าวอย่างมั่นใจว่า การปรับโครงสร้างกิจการของ SICCO ครั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อ ลูกค้าเงินฝาก เจ้าหนี้ ตลอดจนพนักงาน ของ SICCO จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ โดยธนาคารมีแผนดำเนินการให้ลูกค้าสินเชื่อ ลูกค้าเงินฝาก รวมทั้งเจ้าหนี้ต่างๆของ SICCO ได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้น จากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และช่องทางบริการที่สะดวกมากขึ้น รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ภายหลังการรวมกิจการจากการขยายฐานสินทรัพย์ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับศักยภาพในการเติบโต สามารถรองรับผลกระทบของการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่จะเกิดขึ้นในปี 2554-2555 ทำให้ผู้ฝากเงินเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ พนักงานจะได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดต่อลูกค้า รวมทั้งเป็นการสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงต่อระบบสถาบันการเงินโดยรวมตามวัตถุประสงค์ของทางการอีกด้วย