นายวีระ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ(SVOA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 54 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หลังจากปี 53 ทำรายได้ไม่ถึง 6 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้าที่มีรายได้ราว 6.1 พันล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าทิศทางตลาดไอทีในปีนี้น่าจะดีขึ้นจากปีก่อน และบริษัทยังมีแผนส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ในแง่กำไรสุทธิปีนี้ มีโอกาสเติบโตจากปีก่อน โดยบริษัทจะเน้นการรักษา profit margin ภายใต้ 2 แนวทางคือหาโอกาสใหม่ๆ เพิ่มรายได้เพิ่มยอดขาย และเตรียมองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ของการเป็นตัวแทนจำหน่ายค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าเป็นการขายสินค้าของ SVOA เอง ก็จะให้อัตรามาร์จิ้นค่อนข้างดี แต่ในแง่ของ value เทคโนโลยีราคาจะถูกลงไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เชื่อว่าปีนี้ราคาอาจจะลงไปเกือบ 10% แต่คงไม่กระทบมาร์จิ้นโดยรวมมาก เนื่องจากบริษัทจะเร่งทำยอดขายมากขึ้นเพื่อเพิ่มวอลุ่มขายมาทดแทน
นายวีระ กล่าวว่า สินค้าหลักของบริษัทปีนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์โน้ตบุกและอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งเป้าขายที่ 2.4 หมื่นเครื่อง โดยเมื่อปลายปีที่แล้วได้นำเข้าสินค้าของ Digital Touch เข้ามา และในปีนี้จะเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าของยี่ห้ออื่นเพิ่มเติมด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย คาดเปิดตัวราว ก.พ.นี้ พร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คาดเริ่มวางขายไตรมาส 1/54 นี้ ซึ่งบริษัทวางแผนทำกิจกรรมทั่วประเทศช่วง ก.พ.ภายใต้งบการตลาดทั้งปีที่ตั้งไว้ 28 ล้านบาท
"ปีนี้จะมีสินค้าใหม่ 4-5 ตัว Communication Products, Printer Products และอื่นๆ พยายามให้จบในไตรมาส 1/54 มีเป้าซัพพลายเออร์อยู่แล้ว หวังจะเพิ่มรายได้เข้ามา 5-10% ของรายได้รวมในปีนี้"นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจไอทีปีนี้เชื่อว่าน่าจะดีกว่าปี 53 แต่กีมีความท้าทายเกิดขึ้นกับบริษัท เนื่องจากกระแสสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตพีซีมาแรง อาจมีผลกระทบต่อตลาดโน้ตบุ๊ก ซึ่งบริษัทกำลังติดตามอยู่ผลกระทบอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์โดยอาจจะต้องหาสินค้าลักษณะแทบเล็ตมาจำหน่ายก็เป็นได้ แต่ก็คงต้องดูตลาดให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง
"คนหันไปซื้อสมาร์ทโฟนมากกว่า เพราะช่วงนี้ยอดขายสมาร์ทโฟนดีมาก บางคนเปลี่ยนไปเป็นแทปเล็ตพีซี บางคนไม่ใช้โน้ตบุกเลย เพราะสมาร์ทโฟนเก่งขึ้น แต่ยอดขายโน้ตบุ๊กยังไม่ถึงขนาดตก แต่ต้องเฝ้าสังเกตให้ใกล้ชิดเพราะตลาดไปไวมาก"นายวีระ กล่าว
บริษัทยังคงจะเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่องทั้งในกทม.และปริมณฑล โดยขณะนี้กำลังรอการประมูลงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เฟสใหม่ คาดว่าจะเปิดประมูลช่วงปลายไตรมาส 1/54 หรือไตรมาส 2/54 แต่ถึงแม้โครงการนี้จะไม่เปิดประมูล แต่ก็มีงานของราชการหลายโปรเจกต์อยู่แล้ว ขณะที่บริษัทมีงานในมือ(backlog))แล้วหลายร้อยล้านบาทที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้หลักยังมาจากการจำหน่ายสินค้าประเภท Consumer Products ถึง 60-70% อีก 40% เป็นงานประมูลภาครัฐ แต่ปีนี้สัดส่วนอาจจะน้อยลง เพราะเราพยายามจะเพิ่มยอดขายใน Consumer เนื่องจากจะมีสินค้าเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยกังวลปีนี้ขอให้การเมืองนิ่งไม่มีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ในแง่ของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศน่าจะเติบโตได้ดีจากปีที่แล้ว ส่วนค่าเงินบาทในปีนี้ไม่น่ามีผลกระทบมากนัก คิดว่าคงไม่เลวร้ายกว่าปีที่แล้วน่าจะนิ่งๆ ราว 29-30 บาท/ดอลลาร์ เป็นช่วงที่รับได้ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าด้านเทคโนโลยี ค่าเงินบาทแข็งก็จะทำให้เราซื้อของที่ถูกลงเราได้ประโยชน์ แต่ตลาดก็บังคับเราให้ขายถูกลงด้วย ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จริง ๆ ก็คือผู้บริโภค