นายอนนต์ ศิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)กล่าวว่า ขณะนี้มีโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าซื้อกิจการและร่วมทุนกว่า 20 ราย ซึ่งเป็นทั้งรูปแบบ Conventional E&P กับ Unconventional E&P ที่ใช้เงินลงทุนและมีต้นทุนต่อหน่วยการผลิตสูง
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังเน้นไปที่การเข้าซื้อกิจการ โดยมีการตั้งทีมงานเพื่อศึกษาการซื้อกิจการโดยเฉพาะ และมีคณะกรรมการพิจารณาแยกออกมาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเน้นประเทศที่บริษัทมีนโยบายให้ความสำคัญในการลงทุน เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา และในภูมิภาคอาเซียน และยังเน้นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงมากนัก แต่ก็ยอมรับว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าธุรกิจอื่น
นายอนนต์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการร่างแบบเชิญชวนให้กับผู้สนใจเข้ามาร่วมทุนในแหล่ง M9 ในประเทศพม่าที่ PTTEP ถือหุ้นอยู่ 100% โดยบริษัทมีแผนจะลดสัดส่วนลงเหลือ 40-50% เพื่อยังคงอำนาจในการบริหาร และ 15% รัฐบาลพม่าจะถือหุ้นตามข้อกำหนด
สำหรับกลุ่มที่จะเข้ามาถือหุ้น ไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นกี่ราย แต่จะเป็นการเสนอขายในทุกแปลงที่บริษัทเข้าไปสำรวจ ได้แก่ M3, M4, M7, M9 และ M11 คาดว่าจะใช้เวลา 3-6 เดือนกว่าจะได้ข้อสรุป แต่ก็ยังต้องขึ้นกับรัฐบาลพม่าว่าจะมีข้อกำหนดใดเพิ่มเติมหรือไม่
ส่วนโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศแอลจีเรีย จากเดิมคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 55 แต่คงต้องล่าช้าไปเป็น 56 เนื่องจากต้องมีการทบทวนเงื่อนไขในสัญญาทั้งหมดอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลแอลจีเรียได้แก้ไขข้อกำหนดใหม่ ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นไปอีกเกือบ 1 เท่าตัว ซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่บริษัทก็ไม่มีแผนจะถอนการลงทุนดังกล่าว เพราะเชื่อว่าการเจรจากับรัฐบาลแอลจีเรียน่าจะลุล่วงไปด้วยดี และแหล่งดังกล่าวมีปริมาณสำรองสูงถึง 2-4 หมื่นบาร์เรล/วัน
นายอนนต์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณการขายไว้ที่ระดับ 9 แสนบาร์เรล/วันในปี 63 โดยเน้นการเติบโตทั้งการลงทุนเองและการซื้อกิจการ
"หลังจากนี้เรายังคงเน้นการเข้าซื้อกิจการ เพราะแม้ว่าเวลาและระยะเวลาผลิตจะสั้นกว่า แต่การลงทุนใช้เงินน้อยกว่าและไม่ต้องรอขั้นตอนการผลิต ซึ่งบางแหล่งกว่าจะผลิตได้ต้องใช้เวลา 5-6 ปี แต่การเข้าซื้อกิจการจะสามารถบันทึกการผลิตได้เลย อย่างที่ออยล์ แซนด์ แคนาดา และมอนทาร่าในออสเตรเลีย"นายอนนต์ กล่าว
นายชัชวาลย์ เอี่ยมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน PTTEP กล่าวว่า บริษัทมีแผนระดมเงินด้วยการออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ทั้งจำนวนในลักษณะ Global Bond วงเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ โดยมีบาร์เคลย์เป็นที่ปรึกษา ซึ่งภายในปลายเดือนนี้จะให้ข้อมูลกับสถาบันจัดอันดับเครดิตเอสแอนด์พีและมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส จากนั้นจะเดินทางไปโรดโชว์
อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องการกำหนดอายุหุ้นกู้ในระยะยาว ส่วนต้นทุนดอกเบี้ยคงต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
ภายในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ทั้งหมด 3-4 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุน และบริษัทยังได้เตรียมวงเงินระดมทุนในรูปแบบ Medium Term Note ที่จะเปิดให้ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้เข้าประมูลและเสนอเงื่อนไขทั้งหมด อีก 1 แสนล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้สำหรับการซื้อโครงการใหม่ ๆ เข้ามาในอนาคต โดยวงเงินนี้เป็นวงเงินที่เปิดกว้างและเปิดใช้ได้ทันทีหากมีการลงทุน
นอกจากนั้น ในช่วงปลายปีที่แล้วบริษัทมีการกู้ยืมเงินไว้แล้ว 2 หมื่นล้านบาทจากธนาคารกรุงไทย(KTB) เชื่อว่าทั้งวงเงินออกหุ้นกู้ วงเงินกู้ และกระแสเงินสดที่มีอยู่ จะเพียงพอสำหรับการเข้าซื้อกิจการออยล์ แซนด์ในประเทศแคนาดา และเพียงพอสำหรับงบลงทุนที่จะใช้ในปีนี้ที่กำหนดไว้ประมาณ 1.34 แสนล้านบาท