TCAP แจงปี 53 กำไร 5.6 พันลบ. คาดโอนกิจการ TBANK-SCIB เสร็จ Q4/54

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 20, 2011 15:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2553 โตขึ้นแบบก้าวกระโดดทุกด้าน โดยสินทรัพย์เติบโตร้อยละ 91.8 สินเชื่อเติบโตร้อยละ 110.9 และเงินฝากโตร้อยละ 100 ส่วนกำไรทำได้ 5,670 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย(รวมธนาคารนครหลวงไทยและบริษัทย่อย)มีกำไรปี 53 เท่ากับ 8,777 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตกับธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) ขณะนี้ได้เสนอแผนการโอนกิจการทั้งหมดต่อธนาคารคารแห่งประเทศไทยแล้ว โดยคาดว่าการโอนกิจการจะแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่า ปี 53 เป็นปีที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเติบโตของกลุ่มธนชาต เนื่องจากธนาคารธนชาตซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการธนาคารนครหลวงไทยจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ

และจากการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ SCIB จากผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อยอื่น(Tender offer)ทำให้ปัจจุบันธนาคารธนชาตถือหุ้นใน SCIB รวมร้อยละ 99.95 และทำให้ TCAP ที่เป็นบริษัทแม่ของธนาคารมีสินทรัพย์ขยายตัวแบบก้าวกระโดด โดยเติบโตสูงถึงร้อยละ 91.7 จากจำนวน 459,965 ล้านบาท เป็น 881,915 ล้านบาท

รวมทั้งสินเชื่อเติบโตถึงร้อยละ 110.9 และมีการกระจายตัวของสินเชื่อที่เหมาะสมมากขึ้นจากเดิมที่สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ นอกจากนี้ฐานเงินฝากยังมีการขยายตัวกว่าร้อยละ 100 ทำให้มีเงินฝากเพิ่มขึ้นจากจำนวน 265,871 ล้านบาท เป็นจำนวน 532,382 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการของ TCAP ในปี 53 มีกำไรสุทธิ 5,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 เป็นไปตามหลักการบัญชีโดยทั่วไปที่ผลการดำเนินงานที่แสดงในงบการเงินรวมเกิดจากการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนการถือหุ้นของ SCIB ขณะที่ด้านสินทรัพย์และหนี้สินเป็นการรับรู้ทั้งจำนวน ทำให้ด้านสินทรัพย์เติบโตเกือบร้อยละ 100 ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิดีมาก เนื่องจากในปี 52 มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นสามัญของธนาคารธนชาตให้กับสโกเทียแบงก์จำนวน 1,902 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้)

หากไม่รวมรายการดังกล่าวกำไรสุทธิของบริษัทฯและบริษัทย่อยจะมีการเติบโตถึงร้อยละ 76.8 ในปี 53 ซึ่งปัจจัยหลัก คือ การบริหารจัดการด้านสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้ในปี 53 บริษัทมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อลดลงจากร้อยละ 1.0 เหลือเพียงร้อยละ 0.3

ถึงแม้ว่าในช่วงปลายปีบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่บริษัทฯและบริษัทย่อยยังสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ร้อยละ 3.5 แต่จากภาวะตลาดทุนที่ดี ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65.6 ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้รวมที่ร้อยละ 44.5

รวมทั้งบริษัทฯ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงจากร้อยละ 65.3 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 62.6 ในปี 2553 หากหักค่าใช้จ่ายจากการรับประกันภัย/ประกันชีวิต อัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 53.6 ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมา ทำให้บริษัทฯ มีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(ROAA) ที่ร้อยละ 1.4 และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ที่ร้อยละ 16.5

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารธนชาต และประธานกรรมการบริหาร SCIB กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารทั้งสองแห่งมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 8,777 ล้านบาท เป็นผลจากการรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย การบริหารติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การขายข้ามผลิตภัณฑ์ (Cross-sell) รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ