(เพิ่มเติม) SVI คาดปี 54 ยอดขายโตกว่า 20%,ศึกษาซื้อกิจการเพิ่มในยุโรปสรุปปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 20, 2011 16:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เอสวีไอ(SVI) ระบุว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเดินหน้าลงทุนขยายการผลิต พร้อมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการใหม่ในยุโรปเพื่อใช้เป็นช่องทางการตลาดเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้เติบโตมากกว่า 20% หรือทำได้ราว 330 ล้านเหรียญสหรัฐ จากนั้นจนถึงปี 56 ยอดขายจะสูงขึ้นเป็น 430 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนผลประกอบการในปีก่อนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลได้ในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ สูงกว่านโยบายที่กำหนดไว้ที่ 30% ของกำไรสุทธิ

นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 54 ที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปี 53 ที่คาดว่าจะมียอดขาย 257 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 55 ที่ 380 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 56 ที่ 430 ล้านเหรียญสหรัฐ

"ตอนสิ้นเดือน ธ.ค.เรามีคำสั่งซื้อแค่ 160 ล้านเหรียญ ปัจจุบันผ่านมา 3 เดือนเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านเหรียญ ถือเป็นปีแรกที่เรามีบุ๊คที่ระดับนี้"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

คำสั่งซื้อที่เข้ามาก็เป็นออเดอร์จากลูกค้าระดับ global ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกเป็นหลัก หลังปัญหาเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายลง และได้รับประโยชน์จากมาตรการ QE2 ที่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบมากขึ้น รวมทั้ง เป็นการเติบโตจากกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นกลุ่มธุรกิจ Industrial และธุรกิจ Niche ที่มีการแข่งขันน้อยแต่เติบโตสูง และลูกค้าของเราก็จะเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า 100% ซึ่งในปีนี้ก็เน้นทั้ง global และ medical product

สำหรับยอดขายในไตรมาส 1/54 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 4/53 ที่มียอดขาย 80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.4 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาสนี้โรงงานแห่งที่ 1 ต้องปิดดำเนินการหลายวัน เพราะจะมีการย้ายมาที่โรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งทำให้ยอดขายลดลง แต่คาดว่ายอดขายจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงไตรมาส 2/54

ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 11-11.5% ใกล้เคียงกับปี 53 ที่ 11.2% ส่วนอัตรากำไรสุทธิจะพยายามรักษาไว้ที่ 9% เท่ากับปี 53 ซึ่งการที่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปี 54 ใกล้เคียงกับปี 53 แม้บริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น เป็นเพราะ บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปซื้อโรงงานแห่งใหม่และการซื้อเครื่องจักรเพื่อที่จะขยายกำลังการผลิต รวมทั้งจะมีการย้ายกำลังการผลิตจากโรงงานแห่งที่ 1 มาที่โรงงานแห่งที่ 3

แต่ทั้งนี้บริษัทก็จะได้รับประโยชน์จากการเข้าไปเปิดออฟฟิศที่ประเทศใต้หวันเพื่อจัดซื้อวัตถุดิบในการผลิตสินค้า เนื่องจากได้ราคาถูกกว่าทำให้ลดต้นทุนในการผลิตลงได้ ซึ่งก็ทำให้หักลบประโยชน์กันไป

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 400 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ในการซื้อโรงงานใหม่แห่งที่ 5 มูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนที่เหลือจะนำไปซื้อเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ในการขยายกำลังการผลิตรองรับยอดขายที่เติบโตขึ้น

"พรุ่งนี้เราก็จะมีการซื้อโรงงานใหม่แห่งที่ 5 มูลค่า 250 ลบ. และเราก็ตั้งใจที่จะขายโรงงานแห่งที่ 1 ที่ราคาใกล้เคียงกันหรือมากกว่า ซึ่งก็มีคนติดต่อเข้ามาเยอะ แต่เราก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ก็รอย้ายมาที่โรงงานแห่งที่ 3 ให้หมดก่อน ก็คาดว่าจะเสร็จสิ้นเดือนก.พ. ยังไงก็จะขายก่อนสิ้นปี"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

และปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าไปซื้อกิจการในยุโรป เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าในยุโรปให้มากขึ้น ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ 3 บริษัท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

"การซื้อกิจการในยุโรปเราก็ดูอยู่ 3 แห่งที่ผลิตคล้ายเรา เป็นเหมือนกับการหาพันธมิตรเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า ซึ่งก็หวังว่าเมื่อซื้อแล้วในอีก 5 ปีข้างหน้าลูกค้าของเขาจะย้ายมาหาเรา ช่วงนี้เงินบาทแข็งก็ทำให้เรามีศักยภาพเพียงพอ"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าในปี 53 จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ถึง 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งมากกว่านโยบายของบริษัทที่กำหนดจะจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 30% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากผลประกอบการในปี 53 ออกมาดีมาก โดยบริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกไปแล้ว 0.095 บาท/หุ้น คาดว่าในครึ่งปีหลังจะจ่ายอีกไม่ต่ำกว่า 0.105 บาท/หุ้น

ส่วนการที่หุ้นบองบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมามองว่าเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นจากกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังเมื่อวันศุกร์บริษัทได้มีการเปิดโรงงานให้เข้ามาเยี่ยมชมกิจการ

"เมื่อวันศุกร์เราก็มีกิจกรรม open house ก็มีกองทุนในประเทศกว่า 10 ราย เข้ามาเยี่ยมชม ซึ่งพอเปิดมาวันจันทร์วันอังคารเข้าก็ซื้อเลย ก็เป็นกองทุนในประเทศซื้อเสียงโด่งดัง และเมื่อวานนี้ก็มีกองทุนจากต่างประเทศ เป็นประเทศอังกฤษมาซื้ออีก ส่วนตัวผมเองตอนนี้ก็ยังไม่คิดจะขาย ก็ถืออยู่ 57%"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเข้ามาถือหุ้นของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ระดับ 15% ของหุ้นทั้งหมด ขณะที่นักลงสถาบันต่างประเทศจะต้องไม่เกินที่ระดับ 15%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ