CIMBT ปี 53 โตแกร่งกำไรสุทธิ 829 ลบ.พุ่งจาก 2 ลบ.ปี 52,NPLลงมาที่ 3.1%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 21, 2011 10:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อย ก่อนการตรวจสอบ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.53 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 829 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้นถึงจำนวน 827 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 52 ที่มีผลกำไรสุทธิเพียง 2 ล้านบาท

รายได้รวมสำหรับปี 53 จำนวน 6.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 522.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 ที่มีรายได้รวม 6.3 พันล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 213.2 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5 เป็นผลจากการขยายสินเชื่อและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ประกอบกับการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงในปีนี้จำนวน 367.7 ล้านบาทหรือร้อยละ 31

ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 309.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 เนื่องจากมีกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อค้าเพิ่มขึ้นจากการไถ่ถอนเงินฝากที่มีอนุพันธ์แฝงในไตรมาส 2/53 รวมทั้งกำไรจากรายการพิเศษ คือ การขายอาคารสำนักงานใหญ่ที่สาทร และการขายบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ บลจ.กองทุนบีที, บริษัท บีที ประกันภัย จำกัด และ บริษัทบริหารสินทรัพย์สาทร จำกัด และการขายหุ้นในบริษัทเวิลด์คลาส เรนท์ อะ คาร์ จำกัด

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(Net Interest Margin-NIM)ปรับสูงขึ้นเป็น ร้อยละ 4.1 จากร้อยละ 3.3 ในปี 52 สะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารยอดเงินฝากคงค้างและต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝาก

"ผลประกอบการปี 53 เป็นอีกก้าวของการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และยังเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการปรับโครงสร้างองค์กร และการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มซีไอเอ็มบี โดยธนาคารใช้ยุทธศาสตร์ในการปรับพอร์ตสินเชื่อและปรับโครงสร้างที่มาของรายได้ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุน จนทำให้ธนาคารมีอัตราการเติบโตทั้งทางด้านสินเชื่อ และเงินฝากเป็นตัวเลขในระดับ 2 หลัก และมีผลกำไรสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ด้านคุณภาพสินทรัพย์นั้น ธนาคารมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี อีกทั้งยังได้แยก good bank ออกจาก bad bank ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นปี 53 ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1% เปรียบเทียบกับปี 2552 ที่สูงถึง 14.9%" นายสุภัค กล่าว

เงินให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ 9.38 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 52 ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SME ขณะที่ยอดเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่จำนวน 1.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 52 ที่ 9.7 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 11 ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของกลุ่มธนาคาร (รวมตั๋วแลกเงิน) อยู่ที่ร้อยละ 86.4 สำหรับเฉพาะธนาคารอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน) อยู่ที่ร้อยละ 83.3

จากการดำเนินการตามนโยบายของธนาคารในการเพิ่มคุณภาพสินทรัพย์ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการขายบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาทร จำกัด พร้อมกับการขายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ทำให้ NPL ก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (Gross NPLs) ลดลงเหลือเพียง 2.9 พันล้านบาท คิดเป็นเป็นอัตราส่วน NPL ที่ร้อยละ 3.1 ลดลงจากปี 52 ที่ร้อยละ 14.9

เนื่องจากการขายบริษัทบริหารสินทรัพย์ สาทร จำกัด ออกจากกลุ่มการเงินซีไอเอ็มบี ไทยไปกลุ่มการเงินซีไอเอ็มบีมาเลเซีย และการขายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ดังกล่าวเป็นการดำเนินตามยุทธศาสตร์การแยก bad bank ออกจาก good bank ซึ่งจะช่วยทำให้การบริหารสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการพัฒนาสินเชื่อมีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น

อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อสำหรับปี 53 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 เทียบกับร้อยละ 1.4 ในปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพและคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น อัตราส่วนเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ร้อยละ 91.4 ปรับตัวดีขึ้นมากจากปี 52 ที่ร้อยละ 62.2 ตามนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดและเพื่อลดความผันผวนของรายได้ในกรณีเศรษฐกิจชะลอตัว

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 56 ล้านบาทหรือร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับปี 52 สาเหตุส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สำหรับปี 53 อยู่ที่ร้อยละ 78 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52 ที่ร้อยละ 83 (หลังจากได้มีการจัดประเภทรายการใหม่สำหรับปี 52 เกี่ยวกับการดำเนินงานที่ยกเลิก) สะท้อนการดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น

ในไตรมาส 4 ธนาคารได้เพิ่มทุนจำนวน 3 พันล้านบาท ทำให้เงินกองทุนของธนาคาร ณ สิ้นปี 53 มีจำนวน 17.2 พันล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 14.7 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 9.0


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ