ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 53 โดยธนาคารและบริษัทในเครือได้รายงานผลประกอบการมีกำไรจากการดำเนินงาน 5,885 ล้านบาทในไตรมาส 4/53 เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/52 และจำนวน 24,731 ล้านบาทในปี 53 เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 52
ในช่วงไตรมาส 4/53 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/52 และจำนวน 8,816 ล้านบาทในปี 53 เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปี 52 สินเชื่อที่มีคุณภาพ เพิ่มขึ้น 60,588 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จาก ณ สิ้นปี 52 เงินฝาก ขยายตัว 55,964 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จาก ณ สิ้นปี 52
สินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPL)ลดลงจาก 52,080 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.52 มาอยู่ที่ระดับ 38,149 ล้านบาท หรือลดลง 27% สัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นจาก 74% ณ วันที่ 31 ธ.ค.52 ไปอยู่ที่ระดับ 89%
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY กล่าวว่า ผลการดำเนินงานทั้งในไตรมาส 4/53 และทั้งปี 53 ที่ผ่านมาน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ปี 53 ธุรกิจที่ธนาคารได้เข้าซื้อสำเร็จสมบูรณ์ได้สร้างประโยชน์แก่ธุรกิจในเครือกรุงศรีโดยรวม เรามีกำไรสุทธิจำนวน 8,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ขณะเดียวกันก็เป็นอีกปีหนึ่งที่เครือได้แสดงถึงความแข็งแกร่งของการเติบโตจากธุรกิจปกติ (Organic Growth) จากจำนวนสินเชื่อที่มีคุณภาพที่เพิ่มขึ้น 11%
คุณภาพสินทรัพย์ก็ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 27% มาอยู่ที่จำนวน 38,149 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ 12,775 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งขณะเดียวกันสัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 89% ดังนั้น เราจึงพอใจอย่างยิ่งในผลประกอบการดังกล่าวซึ่งแสดงถึงความสามารถในการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทในเครือซึ่งทำงานประสานกันภายใต้แนวคิด One Krungsri แม้ว่าเราประสบกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติในช่วงต้นปีก็ตาม"
ณ วันที่ 31 ธ.ค.53 BAY เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ มีเงินให้สินเชื่อ 650,165 ล้านบาทและเงินฝาก 576,479 ล้านบาท ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 15.84% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) 11.54%