บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ บมจ. ช. การช่าง (CK) เป็นระดับ “BBB" จากเดิมที่ระดับ “BBB+" พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable" หรือ “คงที่" จากเดิม “Negative" หรือ “ลบ" โดยอันดับเครดิตที่ลดลงสะท้อนสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงเนื่องจากการมีภาระหนี้ในระดับสูงและอัตรากำไรที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในโครงการก่อสร้างภาครัฐและโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และรายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน โดยความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกบั่นทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงเนื่องจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน จำนวนโครงการก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ที่กระจุกตัว ความเสี่ยงจากสัญญาก่อสร้างแบบคงที่ (Fixed-price Contract) และความผันผวนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตราส่วนกำไรและภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลาง ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มปริมาณงานรับเหมาก่อสร้างที่จะช่วยเสริมสร้างกระแสเงินสดให้แข็งแกร่งได้ในระยะปานกลาง โดยอันดับเครดิตที่ดีขึ้นนั้นบริษัทจำเป็นจะต้องมีภาระหนี้ที่ลดลงและต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาโครงสร้างทางการเงินที่ดีขึ้นในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า CK เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จำนวน 3 รายของประเทศ บริษัทมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างที่หลากหลายตั้งแต่งานโยธาโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงโครงการที่มีความซับซ้อนสูง ประสบการณ์ที่หลากหลายดังกล่าวเมื่อรวมกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำจากต่างประเทศแล้วนับเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่บริษัท
ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบมูลค่า 12,465 ล้านบาท โดย 71% เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริษัทคาดว่ามูลค่างานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบมีโอกาสที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากในปี 2554 เนื่องจากมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการรอลงนามขั้นสุดท้าย เช่น โครงการเขื่อนไซยะบุรีในประเทศลาว (มูลค่า 76,000 ล้านบาท) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 2 สัญญา (15,028 ล้านบาท) โครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (4,800 ล้านบาท) และโครงการโรงงานยาสูบ (4,500 ล้านบาท)
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าธุรกิจสัมปทานของบริษัท ช. การช่างครอบคลุมโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายประเภท ได้แก่ ทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า โดย ณ เดือนกันยายน 2553 เงินลงทุนรวมในกิจการสัมปทานประกอบด้วย การถือหุ้นใน บมจ. ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) จำนวน 16.4% ใน บมจ. รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) 24.6% ในบมจ. น้ำประปาไทย (TTW) 30.0% และในบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) 38.0%
บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอประมาณปีละ 500-600 ล้านบาทจากการลงทุนใน BECL และ TTW ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากลักษณะผันผวนของรายได้ที่มาจากธุรกิจก่อสร้างได้ระดับหนึ่ง
ส่วนโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 ในประเทศลาวซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ SEAN นั้นคาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ในปี 2554 ในขณะที่ BMCL ยังมีผลประกอบการที่ขาดทุนและต้องการความช่วยเหลือทางการเงินจากผู้ถือหุ้นอันเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงอย่างมากในปี 2553 จากการปรับลดอัตรากำไรในโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 โดยโครงการดังกล่าวมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1,070 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2553
ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอันใกล้เนื่องจากสัดส่วนกำไรจะเริ่มมาจากโครงการที่เริ่มหลังปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่การแข่งขันและราคาวัสดุก่อสร้างเริ่มปรับตัวกลับเข้าสู่สภาวะปกติกว่าในปี 2551 บริษัทยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน กระแสเงินสดจ่ายสำหรับโครงการลงทุนในสัมปทาน และค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนน่าจะยังเป็นข้อจำกัดของบริษัทในการพยายามลดภาระหนี้ในระยะปานกลางต่อไป ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 2.3 เท่า ซึ่งค่อนข้างจำกัดความยืดหยุ่นทางการเงินเมื่อเทียบกับข้อกำหนดสิทธิที่ให้รักษาอัตราดังกล่าวในระดับไม่เกิน 2.5 เท่า
สภาพคล่องของบริษัทได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญจากการถือครองหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีจำนวนมาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 เงินลงทุนของบริษัทมีมูลค่ายุติธรรมที่ 13,925 ล้านบาทหากประเมินมูลค่าเงินลงทุนใน SEAN ตามราคาทุน มูลค่าเงินลงทุนดังกล่าวน่าจะปรับสูงขึ้นหากสะท้อนถึงมูลค่ายุติธรรมของ SEAN ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงแสวงหาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดสำหรับการลดภาระหนี้และเพื่อการลงทุนในอนาคต