นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์(TOP) กล่าวว่า ผลประกอบการปี 53 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสูงกว่า 8 พันล้านบาทค่อนข้างมาก เนื่องจากมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(stock gain)
ส่วนในปีนี้ผลประกอบการน่าจะดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการที่รัฐบาลปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ด้วยการลอยตัวราคาหน้าโรงกลั่น ทำให้ค่าการกลั่นโดยรวมปรับเพิ่มขึ้น 50 เซ็นต์ถึง 1 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากบริษัทเพิ่มการขาย LPG เข้าสู่ระบบเป็น 3 หมื่นตันภายใน 1-2 เดือนนี้ จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นตัน และทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น 2,500 ล้านบาท/ปี
"ขณะนี้ได้เริ่มเพิ่มกำลังการผลิตแล้วประมาณ 5,000-8,000 ตัน ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศและลดภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงได้" นายสุรงค์ กล่าว
นางสุรงค์ กล่าวว่า ในช่วงต้นปีนี้บริษัทมีค่าการกลั่นรวม(GIM)อยู่ที่ 7 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากราคาพาราไซลีนยังอยู่ในระดับที่ดี และค่าการกลั่น(GRM) อยู่ที่ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ประเมินราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ที่ระดับ 85-90 เหรียญ/บาร์เรล แต่ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปด้วย
บริษัทได้กำหนดแผนลงทุนระยะ 5 ปี ใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะมีโครงการปรับปรุงประสิทธิการกลั่นลดการผลิตน้ำมันเตาเปลี่ยนเป็นน้ำมันดีเซล, ขยายกำลังการกลั่นจาก 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เป็น 3 แสนบาร์เรล/วัน, ขยายกำลังผลิตพาราไซลีน เป็น 5 แสนตัน/ปี จาก 1 แสนตัน/ปี คาดแล้วเสร็จภายในปี 55, เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันหล่อลื่นเป็น 7 หมื่นตัน/ปี จากเดิม 5 หมื่นตัน/ปี แต่ต้องขึ้นอยู่กับกำลังวัตถุดิบของบมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) ด้วย
"คาดว่ารายได้ของไทยออยล์ในปีนี้ จะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง เพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันยางสะอาด (TDAE) และราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น จากปี 53 ที่มีกำไรประมาณ 8 พันล้านบาท จากการที่บริษัทมีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน (stock gain)"นายสุรงค์ กล่าว