(เพิ่มเติม) STA ร่วง 8.16% หลังกำหนดราคาขายหุ้นเข้าตลาดสิงคโปร์ต่ำกว่าในกระดาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 26, 2011 12:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หุ้น STA ร่วง 8.16% หลังปลด SP และ H มาอยู่ที่ 33.75 บาท ลดลง 3.00 บาท จากราคาเปิด 34.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 101.00 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.30 น.

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี(STA) แจ้งราคาเสนอขายหุ้นสุดท้าย(Final Offering Price)ของบริษัทฯที่จะเสนอขายต่อนักลงทุนที่ราคา 1.20 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 29 บาท อ้างอิงจากอัตราปิดของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ 25 มกราคม 2554 ที่ 1 เหรียญสิงคโปร์เท่ากับ 24.163 บาท

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงอนุญาตให้หุ้น STA ซื้อขายได้ตามปกติตั้งแต่เวลา 11.30 น.หลังจากขึ้น SP มาตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่า การที่ STA จะเสนอขายหุ้นในตลาดหุ้นสิงค์โปร์ในราคา 29 บาท ค่าพี/อี 18 เท่านั้น มองว่าเป็นการกำหนดราคาที่ลดลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับราคาเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 38 บาท การปรับลดดังกล่าวน่าจะเกิดจากการที่สภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงค่อนข้างมาก จึงทำให้ไม่สามารถตั้งราคาสูงได้ ส่วนการเข้าเทรดคงจะมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่กำหนดใน 28 ม.ค 54 เนื่องจากการกำหนดราคาล่าช้ามาอย่างน้อย 2 วัน

ทั้งนี้ การที่ราคาเสนอขายหุ้น STA ค่อนข้างต่ำกว่าคาด เป็นผลทางจิตวิทยาจากสภาพตลาดที่ไม่ดีในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นนักลงทุนที่ถือหุ้นก็ควรขายออกไปก่อนและกลับเข้ามารอรับอีกครั้งได้ เพราะมองว่าราคายางยังดีและอยู่ในระดับสูง ยังถือเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น STA อยู่ โดยได้ให้ราคาที่เหมาะสมที่ 42 บาท

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับผู้บริหารถึงการเข้าตลาดหุ้นสิงค์โปร์ ซึ่งมั่นใจเพราะตลาดหุ้นสิงค์โปร์บริษัทส่วนใหญ่จะเป็น commodity ขณะเดียวกัน ก็เป็นบริษัทส่งออกรายใหญ่ที่มีการเติบโตที่ดีในอนาคต

อนึ่ง แผนงานของ STA จะมีการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน(IPO)รวมนักลงทุนสถาบันในประเทศสิงคโปร์ จำนวน 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.9 ของทุนชำระแล้ว และ STA จะนำหุ้นสามัญดังกล่าวเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และดำรงสถานะการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในขณะเดียวกัน (Dual Listing)

การขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนได้ประมาณร้อยละ 65 มาใช้เพื่อซื้อโรงงานผลิตยาง สร้างโรงงานผลิตยางแท่งใหม่ และขยายโรงงานผลิตยางที่มีอยู่ในปัจจุบัน และประมาณร้อยละ 20 ใช้ซื้อที่ดินในการทำสวนยางพาราและ/หรือซื้อสวนยางพาราเพิ่มเติม ซึ่งส่วนอีกประมาณ ร้อยละ 15 จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ