นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโคร อิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย)(SMT)คาดว่า รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แห่งแรกจะช่วยผลักดันให้กำไรของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15-20% ในแต่ละเฟส ของทั้งหมด 3 เฟส โดยจะเริ่มแล้วเสร็จเฟสแรกปลายปีนี้ ต่อเนื่องไปเฟส 2-3 ในปีหน้า ก่อนจะเดินหน้าก้าวไปสู่พลังงานด้านอื่น ๆ ได้แก่ ชีวมวลและพลังงานลม
"บริษัทลูก คือ SMT GE มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท ซึ่งจะทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนก็จะมีทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล และพลังงานลม แต่จะเริ่มจากแสงอาทิตย์ก่อนหลังมีการศึกษามา 3 ปี แล้ว จากนั้นก็จะทยอยเริ่มพลังงานอื่นๆ ซึ่งเราก็ได้แอดเอร์จากการไฟฟ้าที่ 8 บาท"นายพลศักดิ์ กล่าว
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกจะมีขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท เอสเอ็มที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (SMT GE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SMT โดยใช้เงินลงทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุน SMT จำนวน 46.13 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 16 บาท ซึ่วจะช่วยทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงเหลือต่ำกว่าปัจจุบันที่อยู่สูงกว่า 1 เท่า
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะแบ่งออกเป็น 3 เฟส เฟสแรกคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 54 ส่วนเฟสที่ 2 และ 3 จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีหน้า โดยจะขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ทำให้ในปี 55 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าดังกล่าวเข้ามาเต็มปี คาดว่าจะช่วยสร้างกำไรเพิ่มขึ้นอีกเฟสละ 15-20% และคาดว่าภายในอีก 3-5 ปีข้างหน้าธุรกิจพลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเป็น 30% ของรายได้รวมของบริษัท
"เราคงได้เงินระดมทุนมาประมาณ 738 ล้านบาท นำไปสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ซี่งมี 3 เฟส แต่ละเฟสก็คาดว่าจะใช้เงินลงทุนพอๆกัน ตอนนี้เราก็มีที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังเปิดเผยไม่ได้แต่เป็นพื้นที่ที่มีแดดมาก แนวภาคกลางตอนกลาง ตอนบน ภาคอีสาน ซึ่งในแต่ละเฟสก็จะช่วยทำให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมาเฟสละ 15-20%"นายพลศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 54 นายพลศักดิ์ กล่าวว่า SMT ตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 35% จากปี 53 หลังจากแนวโน้มธุรกิจผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์ และสินค้าประเภทแผงวงจรไฟฟ้า(IC) ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะในส่วนของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ปีนี้คาดว่าการผลิตจะเติบโตกว่า 30%
นอกจากนั้น บริษัทจะมีการออกสินค้าใหม่ๆประเภท IC ที่ได้มีการร่วมพัฒนากับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อช่วงต้นปีได้มีการออกสินค้าใหม่คือ ชิพ RFID ที่ได้มีการพัฒนากับลูกค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้ และในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็จะมีการทยอยออกสินค้าใหม่ๆออกมาเพิ่มเติม
ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปี 54 สินค้า IC จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% ของรายได้รวมจากปัจจุบันที่ 30% ส่วนอีก 60% จะเป็นชิ้นส่วนชิ้นส่วนไมโครอิเล็คทรอนิกส์ (MMA)
"สินค้า IC มีมาร์จิ้นดีกว่า MMA ซึ่งปีนี้ก็ยังเติบโตดี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่ปีนี้ยังเติบโตกว่า 30% แต่ปีที่แล้วเติบโตมากกว่า 100% ซึ่งปัจจุบันเราก็ผลิตแผงวงจรให้กับพวกสมาร์ทโฟนเดือนละ 3-4 ล้านชิ้นต่อเดือน และเราก็จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่ม IC อีก ซึ่งเดิมเราก็เคยบอกว่าปีนี้จะมี 4 ราย ก็จะทยอยเปิดตัวเรื่อยๆหลังประกาศงบฯเสร็จ"นายพลศักดิ์ กล่าว