นางสาวเกษรา ธัญญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและกรรมการบริหาร บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 54 เติบโต 10-15% มาที่ 1.5 พันล้านบาท พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนรวมในปีนี้ 3.2-3.3 พันล้านบาท โดยจะใช้เพื่อการก่อสร้างประมาณ 2 พันล้านบาท และซื้อที่ดินอีกประมาณ 1.2-1.3 พันล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากเงินสดสะสม ณ สิ้นปี 53 ที่มีอยู่ 280 ล้านบาท และเงินที่ได้จากการออกตั๋ว B/E เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา 500 ล้านบาท รวมทั้งเงินกู้จากสถาบันการเงิน
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้(Backlog) ณ สิ้นปี 53 อยู่ที่ 1,232 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 90% จากโครงการ เดอะนิช รัชดา-ห้วยขวาง, โครงการ เดอะนิช ซิตี้ ลาดพร้าว 130
ขณะเดียวกันสำหรับยอดขายปีนี้จะเป็นยอดขายจากการพัฒนาโครงการใหม่และยอดขายจากโครงการเดิมที่ยังมีเหลืออยู่ซึ่งเป็นมูลค่าประมาณ 820 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปิดขายในปีนี้ได้ประมาณ 720 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 54 ที่ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มียอดขาย 1.9 พันล้านบาท
บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 8 โครงการ มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 2.8 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 2.2 พันล้านบาท และ ธุรกิจให้เช่าอีกอย่างน้อย 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท หนึ่งในนั้นเป็นรูปแบบ Community Mall ที่ถนนเจริญนคร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และเริ่มก่อสร้างภายใน พ.ค.นี้ รวมทั้ง มีโครงการสนามกอล์ฟพร้อมโรงแรมขนาดไม่เกิน 200 ห้องที่พัทยา และกำลังพิจารณาที่ดินอีกหนึ่งโครงการ
"ธุรกิจให้เช่าปีนี้เราจะเปิดอย่างน้อย 2 โครงการ มี Community Mall ที่เจริญนคร และก็สนามกอล์ฟที่พัทยาที่เราจะไปสร้างโรงแรมโลว์ไรต์ขนาดสัก 200 ห้อง ก็คิดว่าจะใช้เงินในการซื้อที่ดินสัก 500-600 ล้านบาท และก่อสร้างอีกราว 200-300 ล้านบาท ก็จะนำเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนพ.ค. และเราก็กำลังดูที่ดินไว้อีกโครงการ ก็คงอยู่แถวบริเวณพื้นที่เดิม แถวลาดพร้าว ราวมอินทรา หรือไม่ก็รังสิต"นางสาวเกษรา กล่าว
นางสาวเกษรา กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะหันมารุกธุรกิจให้เช่ามากขึ้น เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดีและเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลักของบริษัท โดยตั้งเป้าว่าในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ รายได้จากธุรกิจให้เช่าจะมีสัดส่วนประมาณ 5.5% ของรายได้รวม หรือคิดเป็นมูลค่า 81 ล้านบาท และภายใน 7 ปี จะเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 1%
"ปีนี้บริษัทปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยนอกเหนือจากการเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงแล้ว ยังจะเน้นรุกในส่วนของธุรกิจให้เช่ามากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีประมาณ 10-14% มี Net profit margin และ Gross profit margin ดี"นางสาวเกษรา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 5 พันล้านบาทภายใน 7 ปี โดยจะมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม และจากรายได้ธุรกิจให้เช่าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ปัจจุบัน ราคาขายบ้านในโครงการของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ล้านบาท/หลัง และคอนโดมิเนียมเฉลี่ยที่ 1 ล้านบาท/ยูนิต แต่คาดว่าปีนี้บริษัทจะปรับราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้นเล็กน้อย ตามภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 4%
"ปีนี้ต้นทุนเราเพิ่มขึ้น 4% กว่า ดอกเบี้ยแบงก์ก็ขึ้น น้ำมันก็ขึ้น ค่าขนดินต่างๆก็ขึ้น ซึ่งก็คงทำให้ราคาขายของเราปรับขึ้นบ้าง แต่จะปรับขึ้นเท่าไหร่ก็คงแล้วแต่ภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ และปีนี้เราจะทำการตลาดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ปีนี้งบการตลาดก็น่าจะอยู่ที่ 3% ของยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 1.8-2.5%"นางสาวเกษรา กล่าว
นางสาวเกษรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทอาจจะยังไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ซึ่งทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ครอบครัวธัญลักษณ์ภาคย์ ที่ถือหุ้นรวมกันประมาณ 75% ก็มีแนวคิดที่จะขายหุ้นออกมาบ้าง แต่ก็ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสม
"เราก็เพิ่งมีกองทุนจากสหรัฐฯที่เขาถือหุ้นอยู่ประมาณ 1% จากสัดส่วนผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติของบริษัทที่ 2-3% เข้ามาพูดคุยด้วย เขาก็ชมว่าบริษัทเรามีมาร์จิ้นดีกว่า 20% D/E ก็ต่ำ ปันผลก็สูง เขาก็ให้ความสนใจ แต่ก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะมาขอซื้อหุ้นเพิ่มเติมอะไร ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่เองก็คิดเรื่องขายหุ้นเพื่อจะเพิ่มสภาพคล่อง แต่ก็ต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสม เพราะเราไม่ได้จะขายเพื่อเอาเงินมาใช้"นางสาวเกษรา กล่าว