AJ-T1 เปิดเทรดวันแรกที่ 4.04 บาท ขณะที่เมื่อเวลา 10.00 น.หุ้น AJ อยู่ที่ 27 บาท ลดลง 0.75 บาท(-2.70%)มูลค่าซื้อขาย 2.89 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 27 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ บาท
ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ของบมจ. เอ.เจ.พลาสท์ (AJ)ใช้ชื่อย่อ AJ-T1 จะมีระยะเวลาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 31 มกราคม - 17 กุมภาพันธ์ 2554 (14 วันทำการ) มีจำนวน 39,938,777 หน่วย
โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อให้สิทธิผู้ถือใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ AJ-T1 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 และระยะเวลาแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิ 3 - 17 มีนาคม 2554 ส่วนวันใช้สิทธิ/วันหมดอายุ 18 มีนาคม 2554
โดยมีอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาการใช้สิทธิ 23 บาทต่อหุ้น อายุใบแสดงสิทธิ 58 วัน ระยะเวลาหยุดพักการซื้อขาย (SP) 21 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม 2554 และวันสิ้นสภาพจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 19 มีนาคม 2554
ด้านบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์แนะ"ซื้อ"หุ้น AJ คงราคาเป้าหมายเดิม 47 บาท ใบแสดงสิทธิซื้อหุ้น TSR หรือ AJ-T1 ระยะเวลาเข้าเทรด 31 ม.ค.-17 ก.พ.54 หากมีการใช้สิทธิเต็มจำนวนจะทำให้ AJ มีหุ้นสามัญเพิ่มเป็น 400 ล้านหุ้น เกิด Dilution Effect 10% เชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าวอาจเกิดความผันผวนต่อราคาหุ้นแม่อยู่บ้าง แต่คาดว่าไม่เหมือน IVL เพราะความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อหุ้น AJ ไม่สูงเหมือนหุ้น IVL
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าแม้ AJ จะออกใบแสดงสิทธิซื้อหุ้น หรือ TSR (AJ-T1) ในลักษณะเดียวกันกับ IVL และมีบางส่วนทำ Big Lot ขายหุ้นโดยผู้ถือหุ้นหลักออกไปก่อนหน้านี้ (สัดส่วนประมาณ 13.5 ล้านหุ้น หรือ 3.75%) แต่เราเชื่อว่าผลของการออกหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะไม่ได้ทำลายความเชื่อมั่นการลงทุนเหมือนอย่าง IVL เนื่องจากก่อนหน้านี้ AJ ก็ไม่ได้มีนักลงทุนต่างประเทศหรือสถาบันในประเทศเข้าถือครองหุ้นอย่างมีนัยสำคัญเหมือนอย่าง IVL ทำให้ TSR ที่ออกมาในลักษณะกึ่งเป็นวอร์แรนท์ กลับจะเพิ่มความสนใจในการลงทุนให้กับ AJ ได้มากขึ้น
ประเด็นหลักที่น่าสนใจของ AJ คือ 1.ผลประกอบการไตรมาส 4/53 คาดออกมาดีราว 511 ล้านบาท การขายเครื่องจักรในไตรมาสนี้ที่เราคาดว่าจะได้บันทึกกำไรราว 30 ล้านบาท อาจจะมากกว่านี้ 2.มีกำลังการผลิต BOPA เข้ามาใหม่ในช่วงท้ายไตรมาส 1/54 ทำให้คาดว่าไตรมาส 1/54 กำไรน่าจะอยู่ราว 500 บวก/ลบ เนื่องจากช่วงต้นปี 2554 มาถึงปัจจุบันสเปรดของ BOPET นิ่งที่ราว 2,600 เหรียญฯ ต่อตัน แต่สเปรดของ BOPP เพิ่มเริ่มทะยานขึ้นจาก 650 เหรียญฯ เป็น 750 เหรียญฯ ผลคือ AJ มีกำลังการผลิต BOPP มากพอควร จะได้รับประโยชน์นี้ในช่วงปลายไตรมาส 1/54 ต่อเนื่องถึง 2/54 จึงเชื่อมั่นกับระดับกำไรที่คาดการณ์ในปี 2554 ที่ 1,410 ล้านบาท
นอกจากนี้ การที่ราคาอ่อนตัวลงเพราะความตกใจเกรงจะเป็นเหมือน IVL ถือเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้น โดยมองว่า AJ คือนักพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีโอกาสโตอีกมากในอนาคต ด้วยอุตสาหกรรมที่ดีและผู้บริหารมีความเข้าใจต่ออุตสาหกรรมนี้ มอง AJ เหมือนหุ้น OISHI คือหุ้นอุปโภคบริโภคที่ดีแห่งหนึ่งของเมืองไทย ไม่ได้มองบริษัทนี้เป็นเพียง Commodity Company อย่างเดียว