นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อรวม 43,304 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 19.51% จากปี 53 ที่มียอดสินเชื่อรวม 41,616 ล้านบาท โดยเป็นการขยายตัวจากการให้สินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์ ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กสิกรไทย (K-Auto Finance) สินเชื่อรถยนต์เพื่อเงินสดกสิกรไทย (K-CAR to CASH) และ ผลิตภัณฑ์ลีสซิ่งรถยนต์ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 32,954 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (K-Dealer Floorplan) คิดเป็นมูลค่า 10, 350 ล้านบาท
พร้อมตั้งเป้าผลกำไรสุทธิที่ 472 ล้านบาท จากปี 53 ทีมีกำไรสุทธิ 393 ล้านบาท ด้านแนวโน้มสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปีนี้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.68% จากปี 53 ที่ 1.12% เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับรถยนต์ประเภทอีโคคาร์และรถกระบะ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ก็จะสร้างกำไรให้มากขึ้นเช่นกัน
"ปีนี้เราก็จะขยายรถยนต์อีโคคาร์กับรถปิกอัฟมากขึ้น ตลาดปิกอัฟที่ว่าเป็นตลาดใหญ่ 50% ของพอร์ต ซึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงและคงทำให้ NPL ปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่กำไรก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เพราะอย่างรถปิกอัพก็มีดอกเบี้ยสูงกว่ารถยนต์นั่ง"นายอิสระ กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 4 พันล้านบาท และมีกำไรประมาณ 30 กว่าล้านบาท ขณะที่ NPL อยู่ที่ 1.15% ซึ่งยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ด้านอัตราดอกเบี้ยการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์ ได้มีการปรับขึ้นมาที่ระดับ 2.35% จากช่วงต้นปีที่ระดับ 2.1% หลังบริษัทได้มีการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด
"ดอกเบี้ยเราก็ได้มีการทยอยปรับขึ้นมาตลอดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ก็อยู่ที่ 2.35% เท่ากับตลาด ปีนี้มองว่าการแข่งขันทางด้านราคาจะลดลง หลังต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงเป็นการแข่งขันกันเรื่องอื่นอย่างการออกโปรโมชั่นหรือแคมเปญต่างๆมากกว่าเรื่องดอกเบี้ย"นายอิสระ กล่าว
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นรวมทั้งปีประมาณ 0.75% ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนของการดำเนินธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม แต่บริษัทก็ยังมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะมองว่ามีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ ทั้งการส่งออกที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง การลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น รวมทั้งโครงการประชาวิวัฒน์ของทางรัฐบาล
บริษัทยังคงให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจโดยตั้งใจเป็นบริษัทชั้นนำที่ให้บริการสินเชื่อที่เกี่ยวกับรถยนต์ ที่เน้นพัฒนาคุณลักษณะที่มีคุณค่าและมอบสิทธิประโยชน์อันสูงสุดทางด้านบริการการเงินแบบครบวงจรต่อลูกค้า
และบริษัทฯได้ทำการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยในปี 54 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมียอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะขยายตัว 5 - 10 % จากปี 53 โดยมีแรงหนุนหลักจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่รถยนต์ประเภทอีโคคาร์ที่จะมีการเติบโตขึ้นมาก
"เชื่อว่าแนวโน้มสินเชื่อเช่ารถยนต์ในปี 54 ว่าจะมีโอกาสขยายตัว ซึ่งจะสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจของลีสซิ่งกสิกรไทยได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน" นายอิสระ กล่าว