นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือน ก.ย. - ต.ค. 54 โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทราวเดือนก.พ.นี้ และคาดว่าจะทราบความชัดเจนของจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป(IPO) ในเดือนเม.ย. 54
"กระทรวงการคลังถือหุ้น ดอนเมืองโทลล์เวย์อยู่ 25% แต่กลุ่มพานิชชีวะซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการคงสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ หรือ 37% ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องการที่จะลดสัดส่วนลงเลย แต่คงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องเป็นไปตามกฎของตลาด โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลา 6- 9 เดือน ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์" นายธานินทร์ กล่าว
ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง ได้แก่ กลุ่มพานิชชีวะ ถือ 37%, กองทุน AIF Coll Roads Holding ถือหุ้นอยู่ 29.45% ของทุนจดทะเบียน 5.4 พันล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 5.20 บาท นายธานินทร์ กล่าวว่า การจัดสรรสัดส่วนการกระจายหุ้น ต้องรอที่ปรึกษาทางการเงิน เบื้องต้นคาดว่าจะกระจายในสัดส่วน 20-25% ของทุนจดทะเบียน โดยบริษัท คาดว่าจะแต่งตั้ง บล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในประเทศ และ บล.ยูบีเอส เป็นทีปรึกษาทางการเงิน ฝ่ายต่างประเทศ
ทั้งนี้ การจัดสรรหุ้น IPO จะมาทั้งการเพิ่มทุนใหม่ และ การนำหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมมาจัดสรร ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านการขายหุ้น IPO บริษัทจะนำมาใช้ในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าหรือธุรกิจอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือให้ผลตอบแทนจากการลทุน 14%ต่อปี
ส่วนการลงทุนส่วนต่อขยายจากดอนเมือง- ธรรมศาสตร์รังสิต -บางปะอิน ระยะทางรวม 20 กม. อยู่ระหว่างการศึกษาความหนาแน่นและความต้องการใช้ คาดว่าต้องใช้เวลาศึกษานาน 2 ปี จึงจะได้ข้อสรุปว่าจะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงถึงกม.ละ 1,000 ล้านบาท และต้องใช้เวลาก่อสร้างเฟสละ 3 ปีครึ่ง
ปัจจุบัน บริษัทมีอายุสัมปทานของบริษัทคงเหลืออีก 25 ปี หรือหมดอายุในวันที่ 11 ก.ย. 2577
นายธานินทร์ ยังกล่าวว่า บริษัทได้ศึกษา กองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ ซึ่งทางกระทรวงการคลังมีความสนใจที่จะจัดตั้ง และบริษัทเองก็สนใจเช่นกัน แต่ยังติดกฎหมายด้านภาษี คงต้องรอให้มีการแก้ไขเรื่องนี้เสียก่อน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 53 บริษัทมีรายได้รวม 1.5 พันล้านบาท และในปี 54 คาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท โดยคาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนโทลเวย์ เพิ่มขึ้น 15% จาก 5 หมื่นคัน/วัน เป็น 5.5 หมื่นคัน/วัน ส่วนกำไรสุทธิปี 53 อยู่ที่กว่า 450 ล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าการเติบโตของรายได้จะมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของจำนวนรถยนต์ในประเทศที่ยังคงมีการขยายตัวสูง