บมจ. สามารถ ไอ-โมบาย (SIM) ระบุว่า ในปี 54 บริษัทเตรียมเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่กว่า 60 รุ่น ซึ่งจะครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือกลุ่ม แอนดรอยด์ 3G มือถือสองซิมที่ใช้งานทั้งซิม 3G และ GSM รวมทั้งมือถือมัลติมีเดียที่ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่ i-mobile Hitz Series, i-mobile S Series และ i-mobile i Series ภายใต้แนวความคิด “ i-mobile Lifestyle Community " โดยตั้งเป้าหมายยอดขายจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ 3.5 ล้านเครื่องสำหรับในประเทศ
นายธนานันท์ วิลไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIM กล่าวว่า ในไตรมาส 1/54 ตั้งเป้าออกสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ไม่ต่ำกว่า 5 รุ่น ที่ราคาเฉลี่ย 4,500-6,000 บาท และทั้งปีตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 10 รุ่น แต่ในไตรมาส 2-3 คาดว่าราคาสมาร์ทโฟนน่าจะมากกว่า 6,000 บาท เพราะความเร็วแรงขึ้น และรองรับ 3Gด้วย
"ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เน้นขายสมาร์ทโฟน แต่การรับรู้รายได้จากสมาร์ทโฟนไตรมาส 2 น่าจะรับรู้ได้มากกว่าไตรมาส 1 เพราะไตรมาส 1 เพิ่งเริ่มเปิดตัว จำนวนเครื่องที่มายังไม่มาก อย่างไรก็ตาม ปีนี้รายได้หลักยังเป็นกลุ่มฟีเจอร์โฟน" นายธนานันท์ กล่าว
สำหรับการแข่งขันของอุตสาหกรรมปีนี้ นายธนานันท์ มองว่า ความรุนแรงไม่น้อยกว่าเดิม เพราะมีแบรนด์เกิดขึ้นใหม่ สำหรับราคาขายเฉลี่ยของบริษัทปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 2,000-2,500 บาท/เครื่อง จากปีก่อนที่ 1,800 บาท/เครื่อง เนื่องจากมีสินค้าใหม่ๆ คุณภาพสูงเพิ่มขึ้น เช่น มีการขายสมาร์ทโฟนเข้ามา ก็จะเอาสมาร์ทโฟนมาไดร์ฟราคาเฉลี่ยของเครื่อง ปีนี้เทรนด์สมาร์ทโฟนจะมาแรงกว่าปีก่อนเพราะจะมีระบบ 3G เข้ามาเกี่ยว แต่ปี 55 มีโอกาสก้าวกระโดดเพราะระบบจะไปถึงต่างจังหวัดมีโอกาสที่ลูกค้าต่างจังหวัดจะใช้มากขึ้นเพราะมีเน็ตเวิร์ครองรับ
ปีนี้ตั้งเป้าขายเบอร์ไปให้ถึง 5 แสนเบอร์จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 แสนกว่าเบอร์ โดยคาดว่าครึ่งปีหลังจะขายได้ดีกว่าเพราะมีเน็ตเวิร์คเพิ่มขึ้น มีสถานีใช้งานเยอะก็จะใช้ง่ายกว่า
สำหรับงบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ 400 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 360 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นการลงทุนสำหรับ Social Network ใหม่ๆ เช่น แท็บเล็ตใหม่ แอนดรอยด์
นายธนานันท์ กล่าวถึงยอดขายต่างประเทศว่า ปีนี้ตั้งเป้าไม่เกิน 4 แสนเครื่อง (จาก 3 ปีก่อน 1 ล้านเครื่อง) จาก 2 ประเทศคือมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งบริษัทยังมีออฟฟิศอยู่ ส่วนที่บังคลาเทศ อินเดียและเวียดนามได้ปิดออฟฟิศไปตั้งแต่ปีที่แล้วเนื่องจากไม่มีกำไรขายไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับขายในประเทศที่มาร์จินสูงกว่า ซึ่งการที่ปิดออฟฟิศในทั้ง 3 ประเทศไปไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ปี 53 มากนัก เพราะรายได้ก็ยังใกล้เคียงเดิม และยังไม่มีการมองหาที่ใหม่เพิ่ม
ขณะเดียวกันการขายในประเทศก็เพิ่มขึ้นมากเพราะตลาดใหญ่กว่า และกำไรดีกว่า ส่วนที่ลาวและเขมรปัจจุบันนี้ยังขายอยู่ แต่เป็นการขายผ่านดีลเลอร์ ซึ่งนับรวมเป็นยอดขายในประเทศ ทั้งนี้เมื่อรวมยอดขายทั้งในและต่างประเทศปีนี้ก็เกือบ 4 ล้านเครื่อง