(เพิ่มเติม) KBANK คงเป้าสินเชื่อปี 54 โต 7-9% ตั้งเป้าคุม NPL ไม่เกิน 2-3%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 4, 2011 12:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)กล่าวว่า ในปี 54 ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 7-9%

พร้อมเป้าหมายควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ไม่เกิน 2-3% ซึ่งระดับ NPL ของธนาคารในขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง แต่หากไม่ระวังอาจเป็นปัญหาได้ เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นเรื่องปกติของการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น จึงต้องดูแลไม่ให้มีการปล่อยสินเชื่อเกินตัว ซึ่งธนาคารได้คุมเข้มในเรื่องนี้อยู่แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้เชื่อว่ายังเติบโตต่อไปได้ ดังนั้นธนาคารจึงยังไม่มีการทบทวนแผนการดำเนินธุรกิจ

"ความไม่ปกติเป็นไปตามวัฎจักรทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับจะมากหรือน้อย แต่เศรษฐกิจปีนี้ยังไปได้ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ ส่วนไม่แผนธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความเข้มงวดของการประเมินสินเชื่อต้องสอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยง ตอนนี้ยังไม่ปรับเป้าสินเชื่อ เชื่อว่าน่าจะทำได้ตามเป้า" นายบัณฑูร กล่าว

ล่าสุด ในวันนี้ธนาคารได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารชิสึโอกะ ซึ่งเป็นธนาคารท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น โดย KBANK จะเป็นผู้ให้บริการทางด้านการเงินแบบครบวงจร ทั้งด้านเงินฝาก สินเชื่อ เงินโอน และการบริหารจัดการด้านการเงินแก่บริษัทญี่ปุ่นที่เป็นลูกค้าของธนาคารชิสึโอกะที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ขณะนี้มีไม่ต่ำกว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และคาดว่าจะมีความต้องการสินเชื่อในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท

นายบัณฑูร กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ธนาคารชิสึโอกะเป็นกากรต่อยอดร่วมเป็นพันธมิตรการขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย และเร็วๆ นี้ธนาคารจะมีการลงนามความร่วมมือกับธนาคารประจำจังหวัดในญี่ปุ่นอีก 2 แห่ง โดยจะพิจารณาความเป็นไปได้ของปริมาณการค้า การลงทุน โดยเลือก 1 จังหวัด 1 ความร่วมมือ

"ธนาคารตั้งเป้าที่จะเป็นธนาคารไทยในใจนักลงทุนญี่ปุ่น (The Most Preferred Thai Local Bank) และจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นในไทยเป็น 18% ภายในปี 55 รวมทั้งมีส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทย" นายบัณฑูร กล่าว

ส่วนกรณีสถานการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ นายบัณฑูร มองว่า ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อธนาคารพาณิชย์และภาพรวมเศรษฐกิจ แต่มีความเป็นห่วงว่าหากเหตุการณ์ลุกลามต่อไป อาจส่งผลต่อสถานการณ์น้ำมันและมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศได้ หากผลกระทบลุกลามไปยังประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจับตา เพราะหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้ขณะนี้มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งในเรื่องนี้ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อในอนาคต

ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันที่อาจปรับสูงขึ้น การที่รัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซล ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่าหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น ต้องปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ