นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทตั้งมียอดรายได้ขั้นต่ำที่ 12,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน โดยจะมีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 2,300 บัญชี จากปัจจุบัน 1,800 บัญชี เน้นลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนทั่วไปและกลุ่มร้านค้าปลีกทองคำ รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างจากคู่แข่ง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/54 มีแผนจะเพิ่มผลิตภัณฑ์เงินแท่ง(Silver bar) เนื่องจากราคาเงินในตลาดโลกมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเช่นเดียวกับราคาทองคำ เห็นได้จาก 2 ปีที่ผ่านมาการลงทุนในผลิตภัณฑ์เงินให้ผลตอบแทนสูงมาก ซึ่งปี 53 ให้ผลตอบแทน 83% จากปี 52 ที่มีผลตอบแทน 49% ขณะที่ราคาทองคำโลกในปี 53 ให้ผลตอบแทน 29% และปี 52 ให้ผลตอบแทน 25% ดังนั้น การออกผลิตภัณฑ์เงินแท่งน่าจะสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าและสอดรับกับกระแส Silver Futures ที่ตลาดอนุพันธ์จะนำมาซื้อขายในไตรมาส 2/54
นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมกับ บล.โกลเบล็ก จัดทำ Cross selling เพื่อออกผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกัน เช่น Gold Futures , Silver Futures และการแบ่งฐานลูกค้าร่วมกัน เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าในเครือโกลเบล็ก
บริษัทมีแผนจะขยายเวลาทำการซื้อขายทองคำแท่งและเงินแท่งถึงเวลา 24.00 น.ในช่วงไตรมาส 2/54 เพื่อให้สอดคล้องกับตลาด TFEX ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรให้ลูกค้าและยังสามารถป้องกันความเสี่ยงกรณีราคาทองคำในตลาดโลกมีความเคลื่อนไหวรวดเร็วและผันผวนในเวลากลางคืน
สำหรับภาพรวมธุรกิจทองคำในปี 54 มองว่ายังสดใส โดยราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าราคาทองคำในช่วงปลายปีนี้จะอยู่ที่ 1,600-1,650 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ช่วงไตรมาส 1/54 อยู่ที่ 1,400-1,450 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์อียิปต์ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในทองคำ ระยะสั้น-กลาง สามารถถือครองทองคำได้ จนถึงสิ้นปี
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก(GBS) กล่าวว่า ในปี 54 ตั้งเป้ามีรายได้รวม 764.63 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จำนวน 527.56 ล้านบาท คิดเป็น 69% รายได้จากนายหน้าตลาดอนุพันธ์ 80 ล้านบาท คิดเป็น 10% รายได้จากดอกเบี้ยบัญชีมาร์จิ้น 30 ล้านบาท คิดเป็น 4% รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ 7.30 ล้านบาท คิดเป็น 1% และรายได้จากกำไรค่าตราสารทุนและอนุพันธ์ 120 ล้านบาท คิดเป็น 16%
บริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ที่ 4.76% โดยเพิ่มจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เป็น 14,000 บัญชี และคาดว่าจะมีบัญชีเคลื่อนไหว 4,200 บัญชี หรือคิดเป็น 30% ของบัญชีลูกค้าทั้งหมด จากปัจจุบันมีจำนวนบัญชี 11,567 บัญชี
และตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจตลาดอนุพันธ์ 13% และมีจำนวนลูกค้าเพิ่มเป็น 2,500 ราย คาดว่าจะเป็นบัญชีที่เคลื่อนไหว 700 บัญชี คิดเป็น 28% จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1,900 บัญชี