นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้(LALIN)เปิดเผยว่า ในปี 54 ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 1,935 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนมีรายได้ 1,650-1,700 ล้านบาท ส่วนยอดขายปีนี้ตั้งเป้า 2,150 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มียอดขาย 2,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้(backlog)จำนวน 400 ล้านบาท และในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบเพื่อจัดซื้อที่ดิน จำนวน 700 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 5-7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3.5 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ช่วงครึ่งปีแรกจะเปิด 5 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ และทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการคาดว่าจะเปิดได้ในครึ่งปีหลัง
ช่วงต้นปีบริษัทได้เปิดโครงการบ้านเดี่ยวย่านวัชรพล ภายใต้แบรนด์ แลนด์ซิโอ ระดับราคา 3-4 ล้านบาท ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี ส่วโครงการคอนโดมิเนียมจะเป็นแบรนด์ใหม่ มูลค่า 300-400 ล้านบาท ทำเลติดรถไฟฟ้าใต้ดินย่านรัชดาฯ-พหลโยธิน คาดว่าเปิดขายได้ครึ่งปีหลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม
นายไชยยันต์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะตรึงราคาขายบ้านในราคาต้นทุนเดิมไว้ก่อน เนื่องจากราคาเหล็กยังเป็นต้นทุนเดิม แต่ไตรมาส 3-4/54 บริษัทเตรียมพิจารณาปรับราคาขายบ้านอีก 3-4% โดยจะเลือกปรับในบางโครงการ เนื่องจากต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% ทั้งราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เช่น เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นจากเหตุการณ์ความรุนแรงในอียิปต์
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างในปีนี้ แม้ว่าราคาเหล็ก และ ราคาสุขภัณฑ์ เช่น กระเบื้อง ยังเป็นราคาเดิมจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค.54 แต่ต้นทุนด้านอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ค่าที่ดิน ค่าแรงงาน ดอกเบี้ย ที่ปรับขึ้น ทำให้ต้องปรับราคาขายบ้าน โดยเฉพาะราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าปรับขึ้นถึง 50%
"บ้านลลิล ตอนนี้ยังไม่ปรับราคาเพราะ fix cost แต่ไตรมาส 3-4 อาจขยับขึ้น..ที่ไม่เปิดคอนโดฯแบบบ้าบิ่น เพราะมีเรื่องราคาที่ดิน"นายไชยยันต์ กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวว่า ปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้นบริษัท อยู่ที่ 40% สูงสุดในตลาด เนื่องจากบริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ค่อนข้างน้อย แต่เน้นคุณภาพและควบคุมต้นทุน เพื่อให้กำไรออกมาดี ดังนั้น อัตรากำไรจึงอยู่ในความสามารถบริหารได้ดี และเชื่อว่าในปี 54 ผลกำไรจะต้องดีขึ้น เพราะเน้นการบริหารจัดการ
ส่วนผลดำเนินงานของปี 53 คาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลในช่วงครึ่งปีหลังได้สูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากผลกำไรที่ดีขึ้น