นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กรณีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม เนื่องจากบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจในกัมพูชามีจำนวนไม่มาก เป็นรายได้ไม่ถึง 1% โดยบริษัทที่ลงทุนในกัมพูชามากที่สุด คือ กลุ่มบริษัทสามารถ คอร์เปอเรชั่น (SAMART) บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ส่วนกลุ่มปูนซีเมนต์ มีการลงทุนน้อยมาก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกรณีปัญหาระหว่างเกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ ซึ่งระยะแรกส่งผลต่อตลาดหุ้นลดลง แต่ต่อมาเมื่อมีการเจรจาหาทางออก กลายเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/54 น่าจะขยายตัว 1.6% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งช่วงสุดท้ายของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นลักษณะ sideway ปรับขึ้นได้เล็กน้อย โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ ปรับขึ้นได้ 15% มาอยู่ที่ 1,200 จุด แต่ระหว่างทางดัชนีอาจแกว่งตัวได้
อย่างไรก็ตาม มองว่ายังไม่มีปัจจัยลบที่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวได้ ดังนั้นเศรษฐกิจยังเติบโตได้แม้มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยกรอบดัชนีตลาดหุ้นปีนี้อยู่ที่ 915-1,200 จุด แต่อาจเห็นดัชนีร่วงลงที่ 900 จุด จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ แต่หากควบคุมเงินเฟ้อได้ จะเห็นดัชนีปรับขึ้นเหนือ 900 จุด และเคลื่อนไหวในกรอบ
"กรอบดัชนีปีนี้ค่อนข้างกว้าง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มเริ่มฟื้นตัว และเข้าสู่ช่วงขยายตัว" นายกวี กล่าว
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้ คือกลุ่มพลังงาน เกษตร กลุ่มบริการ ซึ่งได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งกลุ่มพลังงาน ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูงขึ้น ส่วนกลุ่มเกษตรได้ผลดีจากราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น และได้ประโยชน์จากวัฎจักรเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มบริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล มีเดียร์ จะได้ประโยชน์จากการขายโฆษณา
ส่วนปัจจัยโดยรวมในปีนี้ยังมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการเมืองในประเทศ แม้ปีนี้ไม่รุนแรง แต่ต้องติดตามว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่