โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)เนื่องจากศักยภาพการเติบโตของรายได้ อัตราการทำกำไร และพื้นฐานการเงินที่แข็งแรง โดยเฉพาะผลประกอบการจะเห็นการเติบโตโดดเด่นในปี 54-55 หลังควบรวมกิจการกับกลุ่ม ร.พ พญาไท และ ร.พ เปาโล ซึ่งทำให้ BGH จะมีกำไรสุทธิ 3,392 ล้านบาทในปี 54 ขณะที่ Market Cap ของบริษัทเพิ่มขึ้น 25 % ซึ่งจะเป็นประเด็นดึงดูดนักลงทุนสถาบันปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside 15% เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม
ส่วนปี 54 ความสามารถในการทำกำไรเพิ่ม จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นภายใต้โรงพยาบาลในเครือที่เพิ่มเข้ามาอีก 8 แห่ง เป็น 27 แห่ง และรับผลบวกจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีส่วนสนับสนุน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ฟิลลิป ซื้อ 58.50 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 56.50 บล.กรุงศรี ซื้อ 54.50 บล.ทิสโก้ ซื้อ 53.00 บล.เกียรตินาคิน ถือ 51.00
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า บริษัทมีมุมมองในเชิงบวกต่อหุ้น BGH และมองว่าเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงพยาบาล จึงแนะนำ"ซื้อ"โดยมองแนวโน้มปี 54-55 ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง รับผลบวกจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งการควบรวมกิจการกับกลุ่ม ร.พ พญาไท และ ร.พ เปาโล ทำให้เริ่มรับรู้กำไรเข้ามาใน 2H54 ซึ่งดีลดังกล่าวมองว่าช่วยให้พื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น จาก Synergy ทางธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรโดยรวมของกลุ่มดีขึ้น โดยมองการเติบโตกำไรในปี 54 และ 55 เติบโต 40%YoY และ 27%YoY ตามลำดับ
ทั้งนี้ การควบรวมกิจการกับกลุ่ม เฮลท์ เน็ตเวิร์ค หรือเครือ ร.พ.พญาไท และร.พ.เปาโล ส่งผลต่อศักยภาพ และการเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่งขึ้น โดยเราประเมินว่า BGH จะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งประเมินผลประกอบการในปี 53-55 เติบโตเฉลี่ย(CAGR)ที่ 33.5% สูงกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ 19%
การควบรวม ส่งผลให้ฐานลูกค้ามีเพิ่มขึ้น จากโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอีก 8 แห่ง เป็น 27 แห่ง ทำให้บริษัทสามารถ อาศัยเครือข่ายที่มีมากขึ้นในการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลได้มากขึ้นด้วย รวมทั้งนโยบายในการรวมศูนย์ต้นทุนจะเห็นผลต่อเนื่อง ช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรโดยรวมของกลุ่มมีแนวโน้มดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อ Market Cap ของบริษัทเพิ่มขึ้น 25 % มาเป็น 1,946 ล้านดอลลาร์ สูงเป็นอันดับ 1 ในประเทศ และขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มโรงพยาบาลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งอาจมีผลต่อการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ในขณะที่ P/E ที่ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ 24.3 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่า P/E ของกลุ่มโรงพยาบาลในภูมิภาคเอเชียที่ 31 เท่า และ ต่ำกว่า P/E ในอดีตย้อนหลัง 5ปี ของ BGH ที่ 33.4 เท่า
ขณะที่ นางสาว ปิยะธิดา สนธิสมบัติ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า BGH ถือเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการทำกำไรทั้งในปัจจุบันและระยะอีก 1-2 ปีข้างหน้าที่โดดเด่นสุดในกลุ่ม เนื่องจาก การเข้าซื้อกลุ่มพญาไทและเปาโลช่วยผลักดันกำไรปี 54-55 เติบโตเฉลี่ย 49% คาดว่าจะเริ่มมีการรวมงบการเงินของทั้งพญาไทและเปาโลเข้าในงบการเงินรวมของ BGH ตั้งแต่ช่วงกลางปี 54 เป็นต้นไป
ประกอบกับ ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside 15% เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมของหุ้น BGH ที่ประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 10.8%)ซึ่งอยู่ที่ 56.50 บาท นอกจากนี้ยังคาดหมายผลตอบแทนในรูปเงินปันผลสำหรับปี 2554 ได้อีกราว 1.83%
ด้าน นักวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน แนะ"ถือ"BGH เพราะแม้ว่าศักยภาพในการทำกำไร และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 34.87% จาก 33.3% ในปีก่อน โดยปีนี้คาดว่า BGH จะมีกำไรสุทธิ 3,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 50% Y-O-Y และประมาณการเงินปันผลปี 54 ในอัตราหุ้นละ 0.95 บาท (yield 2%) เนื่องจากการควบรวมเครือรพ.2 แห่ง คาดว่าจะเริ่มเห็นผลต่อ BGH ในครึ่งปีหลัง และเห็นผลชัดเจนในปี 55
แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลใหม่ต่อการเพิ่ม upside ของบริษัท แต่ก็ซื้อลงทุนได้จากปัจจัยพื้นฐานของ BGH โดยเฉพาะการรวมกิจการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/54 ขณะที่ศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต ความสามารถในการให้บริการที่เพิ่มขึ้นตามจำนวน รพ.รวมทั้งจำนวนผู้ใช้บริการทั้ง OPD และ IPD