บมจ.มั่นคงเคหะการ(MK) ตั้งเป้าปี 54 รายได้โต 15% ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเน้นการปรับเพิ่มสัดส่วนบ้านพร้อมขาย และมีแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4 พันล้านบาท ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบ
นางชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ MK กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าเปิดการขายโครงการใหม่ 5 โครงการมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/54 จะเปิดขาย 2 โครงการใหม่ มูลค่า 1,340 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ ไพรเวท ปาร์ค ชวนชื่น ซิตี้ รามอินทรา มูลค่า 530 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือน ม.ค.54 และ โครงการ คอนโดมิเนียม DEN วิภาวดี มูลค่า 810 ล้านบาท จะเปิดตัวเฟสแรก 450 ยูนิต ในวันที่ 11-13 ก.พ.นี้ ราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาท/ยูนิต เบื้องต้นคาดว่าจะขายได้ 200 ยูนิต
ส่วนไตรมาส 2/54 จะเปิดตัวโครงการ เบลล์ ปาร์ค ชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล มูลค่า 500 ล้านบาท เปิดขายในเดือน มิ.ย.54 และในช่วงไตรมาส 4/54 จะเปิดตัวอีก 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท
การที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% คาดว่าจะทำได้ราว 3 พันล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 2,626 ล้านบาท โดยในปีนี้จะเน้นการสร้างบ้านพร้อมขายมากขึ้นเป็นสัดส่วน 54% จากปีก่อนสัดส่วนอยู่ใกล้ ๆ 50% เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ได้ทันภายในปีนี้ เนื่องจากจะมียอดขายคอนโดมิเนียมเข้ามามาก ซึ่งยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วนัก
ณ สิ้นปี 53 บริษัทมียอดขายรอโอน(backlog)ประมาณ 600 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และปัจจุบันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 15 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,563 ล้านบาท มีบ้านพร้อมอยู่ในสต็อก 80-100 ยูนิต และตั้งเป้าเมื่อถึงสิ้นปีนี้จะมีบ้านพร้อมอยู่ 400 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 3.6-3.7 ล้านบาท/หลัง ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว
บริษัทมีกระแสเงินสดเป็นบวกมาโดยตลอด โดยในแต่ละปีจะมีกระแสเงินสดเข้ามาประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะซื้อที่ดินประมาณ 1 พันล้านบาท ใช้เป็นค่าก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค 1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ในการดำเนินงานและจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นบางส่วน นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทตั้งงบการตลาดรวมโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่าง ๆ ประมาณ 3% หรือประมาณ 90 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะบุกตลาดเชิงรุกมากขึ้น ผ่านทางนิวมีเดียเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก
นางชุติมา กล่าวว่า ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทในปีนี้คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบกับค่าครองชีพและส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการเมือง โดยผลการเลือกตั้งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3-4 บริษัทอาจจะมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาบ้าน 5% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี บริษัทยังสามารถแบกรับต้นทุนได้อยู่เนื่องจากมีการสั่งซื้อล่วงหน้าไว้อยู่ แต่เมื่อสต็อคเก่าหมดก็ต้องซื้อที่ต้นทุนใหม่