นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ในช่วงนี้มีปัจจัยที่เป็นตัวแปรซึ่งส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในประเทศและจากต่างประเทศ โดยเหตุการณ์สำคัญที่กำลังมีการติดตามอย่างใกล้ชิดจากทุกฝ่าย ได้แก่ เหตุการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ใน 7 เขตของกทม. ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.54 รวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองที่อาจมีการยกระดับการชุมนุมในวันที่ 11 ก.พ.54
ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยา ซึ่งน่าจะเป็นระยะสั้น และส่งผลให้หุ้นเคลื่อนไหวผันผวน ซึ่งผู้ลงทุนที่ไม่แน่ใจควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเพื่อสร้างความมั่นใจในระยะยาว และหากไม่มีเหตุการณ์ที่ยืดเยื้อก็เชื่อว่าความมั่นใจจะกลับมา
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเศรษฐกิจภายนอกประเทศ ก็ยังนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องติดตาม เพราะการที่ปริมาณการซื้อขายของผู้ลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยเริ่มเบาบาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเริ่มกระจายเงินลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งผู้ลงทุนควรติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวในระบบเศรษฐกิจระดับโลกเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศอย่างใกล้ชิด และควรศึกษาข้อมูลและมุมมองการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ของสำนักวิจัยหลายแห่ง เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วน
ทั้งนี้ จากข้อมูลสรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นเดือน ม.ค.54 สถิติชี้ให้เห็นว่าการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีความน่าสนใจจากพื้นฐานที่ดี โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend yield) ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยอยู่ที่ระดับ 3.82%
ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในระยะที่ผ่านมานั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจากการติดตาม ณ ขณะนี้ ยังไม่มีบริษัทจดทะเบียนใดที่แจ้งว่าการดำเนินงานได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทันที
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียน และหากมีข้อมูลสำคัญที่บริษัทจดทะเบียนใดจะต้องเปิดเผย จะได้มีการประสานงานเพื่อนำข้อมูลเผยแพร่ให้ผู้ลงทุนทราบต่อไป โดยในช่วงนี้ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข่าวสารที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างใกล้ชิดด้วย