หุ้น SVI บวก 0.99% มาอยู่ที่ 4.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 113.32 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.55 น.โดยเปิดตลาดที่ 4.06 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.12 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 4.02 บาท
นางพิศมัย สายบัว ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.เอสวีไอ(SVI)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินและเปรียบเทียบคุณสมบัติของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในยุโรปจำนวน 3 รายที่สนใจจะเข้าไปซื้อกิจการ(เทคโอเวอร์)โดยจะคัดเลือกเหลือเพียง 1 ราย น่าจะได้ข้อสรุปก่อนสิ้นปีนี้ โดยจะพิจารณาประเด็นด้านข้อกฎหมายเป็นประเด็นหลัก นอกเหนือจากฐานลูกค้าที่บริษัทนั้น ๆ มีอยู่
บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการใหม่ในยุโรปประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหลังจากควบรวมกิจการเข้ามาแล้วจะส่งผลต่อยอดขายรวมของ SVI เติบโตขึ้นมาเป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 55-56 จากปี 54 ที่คาดว่ายอดขายจะเติบโต 25-30% จากปี 53 ที่มียอดขายราว 260 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตกว่า 35% จากปี 52
แผนการเทคโอเวอร์ดังกล่าว อาจจะมีการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมเพื่อช่วยในด้านเงินทุน ขณะที่เม็ดเงินของบริษัทที่ยังมีอยู่มาก โดยมีเงินสดในมือ ณ สิ้นปี 53 ประมาณ 1,000 ล้านบาท รวมกับเงินกู้ที่สามารถขอวงเงินจากสถาบันการเงินได้อีก เพราะปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ในระดับต่ำ
นางพิศมัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่ ทั้งลูกค้าในกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และกลุ่มยานยนต์ 2-3 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อรายละเกินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะส่งผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
"เราไม่ห่วงปี 54 เพราะเรามีฐานลูกค้าแล้ว ส่วนลูกค้าใหม่จะเป็นฐานในปีถัดไป เราคุยอยู่หลายราย ออเดอร์ในแต่ละรายต้องเกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในประเทศก็ไปได้สวยทั้งการผลิตและลูกค้า ส่วนการเทคโอเวอร์เป็นการต่อยอดในต่างประเทศ ยอมรับว่าเราต้องศึกษาด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะข้อกฎหมาย และโครงสร้างต้นทุนและหนี้สิ้นจะต้องไม่ถ่วงเรา"นางพิศมัย กล่าว
นางพิศมัย กล่าวต่อว่า ในส่วนการจ่ายเงินปันผลงวดปี 53 คาดว่าจะสามารถจ่ายได้สูงกว่างวดปีก่อนที่ผ่านมาที่จ่ายในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น เพราะกำไรและยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงปลายเดือนก.พ.จะมีการประชุมบอร์ดเพื่อพิจารณา