บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) ที่ระดับ “BBB+" และยืนยันอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ"
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของการค้าโลก รวมถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจผู้ประกอบการขนส่งทางเรือระดับภูมิภาคอันเนื่องมาจากความได้เปรียบในเรื่องขนาดของกองเรือ ความถี่ในการให้บริการ และอายุเฉลี่ยของกองเรือที่ยังต่ำ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถและประสบการณ์
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวลดทอนบางส่วนจากธรรมชาติที่ผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจขนส่งทางเรือ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งฟื้นตัว และอุปทานส่วนเกินของเรือคาดว่าจะยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะสั้นและระยะปานกลางด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคงอ่อนตัว โดยที่บริษัทจะเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงผลกำไรจากการดำเนินงานให้ได้ในช่วงที่ความสามารถในการขนส่งสินค้ามีมากขึ้นและราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเป็น “Stable" หรือ “คงที่" หากบริษัทประสบความสำเร็จในการปรับปรุงอัตราผลกำไรและสามารถสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอในการชำระคืนหนี้และดูแลมิให้วงเงินสินเชื่อผิดเงื่อนไขเกินกว่าระดับที่กำหนด ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถฟื้นกำไรจากการดำเนินงานจนสถานะสภาพคล่องลดต่ำลง
RCL เป็นผู้ประกอบการกองเรือสินค้าขนาดเล็กหรือเรือฟีดเดอร์ (Feeder Business) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลทางสถิติของการท่าเรือสิงคโปร์และตัวแทนท้องถิ่นของบริษัท บริษัทมีส่วนแบ่งสูงที่สุดในตลาดเรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กระหว่างท่าเรือย่อยกับเรือเดินสมุทรในเส้นทางสิงคโปร์กับฟิลิปปินส์ กับมาเลเซีย และกับไทย ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความถี่ของการให้บริการต่อสัปดาห์และขนาดของกองเรือโดยเฉลี่ยที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าได้เป็นจำนวนมาก บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการ 30 รายที่มีกองเรือขนาดใหญ่ที่สุด
ณ สิ้นเดือน พ.ย.53 มีระวางบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ทั้งสิ้น 54,570 ตู้ (Twenty-foot-equivalent Unit -- TEU) ซึ่งเป็นเรือของตนเองจำนวน 34 ลำและเรือเช่าระวาง 9 ลำ ความจุระวางในการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากระดับ ณ สิ้นปี 52 อัตราการใช้ประโยชน์ของกองเรือสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 115% จากระดับ 101% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงการฟื้นตัวของความต้องการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก
การที่เรือส่วนใหญ่ของบริษัทยังมีอายุน้อยโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 11 ปีทำให้บริษัทได้ประโยชน์ในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำ นอกจากนี้ การมีกองเรือขนาดใหญ่ยังทำให้ง่ายต่อการจัดตารางเวลาและความถี่ในการให้บริการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นซึ่งมีกองเรือที่มีขนาดเล็กกว่า อย่างไรก็ตาม การมีเรือในครอบครองจำนวนมากทำให้บริษัทไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราค่าเช่าเรือที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงปี 52-53
ธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือมีลักษณะเป็นวงจรที่ขึ้นและลงเป็นอย่างมากซึ่งกินเวลารอบละประมาณ 5-6 ปี อุปสงค์ของธุรกิจเดินเรือเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้า โดยที่ภาวะเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบต่อธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ (Shipper-owned Container-SOC) ในขณะที่การค้าภายในภูมิภาคเอเซียเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจเรือบริการขนส่งตู้สินค้าประจำเส้นทาง (Carrier-owned Container-COC)
ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดในปี 52 โดยปริมาณการขนส่งของบริษัทลดลง 18% ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ปริมาณการขนส่งสินค้าของธุรกิจกองเรือฟีดเดอร์ลดลงอย่างมากถึง 27% ในปี 52 การที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศแถบเอเซียยังคงเข้มแข็งกว่าในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้าของธุรกิจเรือบริการขนส่งตู้สินค้าประจำเส้นทางลดลงเพียง 9% ในปี 52
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 ปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการค้าโลกและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแถบเอเซียที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราค่าระวางของการขนส่งสินค้าทางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมากจาก 201 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ในปี 51 เป็น 176 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้ในปี 52 ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 190 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของปริมาณความต้องการขนส่งตู้สินค้าและการจัดการอุปทานส่วนเกินของระวางบรรทุกสินค้าให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนไหวและระวางการบรรทุกสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 9% ในช่วงปี 54-55 จะยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลกดดันการขึ้นค่าระวาง