ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.พ.) หลังจากที่ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 43.97 จุด หรือ 0.4% แตะที่ระดับ 12,273.26 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 7.28 จุด หรือ 0.6% แตะที่ 1,329.15 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 18.99 จุด หรือ 0.7% แตะที่ 2,809.44 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในการซื้อขายช่วงเช้า ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ เนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายมูบารัคปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่ง แต่ต่อมาตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวว่า นายมูบารัคได้ส่งมอบอำนาจให้กับกองทัพ และเดินทางออกจากกรุงไคโรแล้ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงรอดูสถานการณ์ว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในอียิปต์ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 18 วัน จะบานปลายขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลางหรือไม่
ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดได้คลายความวิตกกังวลหลังจากที่เหตุการณ์ความไม่สงบในอียิปต์จบลงด้วยการลาออกของนายมูบารัค นอกจากนี้ ข่าวการสละตำแหน่งผู้นำอียิปต์ของนายมูบารัคในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐเปิดเผยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในรายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนประจำเดือนก.พ.ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 75.1 จุด จากระดับ 74.2 จุดในเดือนม.ค. ขณที่ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันขยายตัวแตะ 86.8 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551
นักวิเคราะห์คาดว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สถานะการเงินของผู้บริโภคฟื้นตัว ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในวันอังคารนี้
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปอีกในปี 2554 เนื่องจากสหรัฐนำเข้าสินค้ามากขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเป็นแกนนำการพุ่งนำดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก ในขณะที่สถานการณ์ความไม่แน่นอนเริ่มคลี่คลายลง โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในการซื้อขายระหว่างวัน โดยมีหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวสูงขึ้น 1.9% และดัชนีหุ้น KBW Banks เพิ่มขึ้น 1.8%
สำหรับการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนนั้น คราฟท์ ฟูดส์ เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2553 ที่ร่วงลง 24% โดยบริษัทอาหารรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้เปิดเผยว่า รายได้สุทธิโดยรวมอยู่ที่ 540 ล้านดอลลาร์ หรือ 31 เซนต์ต่อหุ้น เมื่อเทียบกับระดับ 710 ล้านดอลลาร์ หรือ 48 เซนต์ต่อหุ้น เมื่อช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา