ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.พ.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวการประกาศลาออกของนายฮอสนี มูบารัค ประธานาธิบดีอียิปต์ และผลประกอบการที่แข็งแกรงเกินคาดของบริษัท อัลคาเทล ลูเซนท์ เอสเอ และสวอช กรุ๊ป
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นอังกฤษปิดบวก 42.89 จุด หรือ 0.71% แตะที่ 6,062.90 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก 30.92 จุด แตะที่ 7371.20 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 6.17 จุด แตะที่ 4101.31 จุด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานในยุโรป พุ่งขึ้น 0.7%% แตะที่ 287.99 จุด
The FTSEurofirst 300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบลูชิพทั่วยุโรป ดีดขึ้น 0.4% แตะที่ 1,174.13 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า หลังจากนายโอมาร์ สุไลมาน รองประธานาธิบดีอียิปต์ออกแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง พร้อมส่งมอบอำนาจให้ทางกองทัพทำหน้าที่บริหารประเทศแทน ซึ่งการประกาศลงจากตำแหน่งผู้นำอียิปต์ของนายมูบารัคมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเขาเพิ่งประกาศถ่ายโอนอำนาจให้แก่รองประธานาธิบดี
หุ้นสวอชปิดบวก 8.5% ขณะที่หุ้นอัลคาเทลปิดพุ่ง 35% หลังจากทั้งสองบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด เนื่องจากอุปสงค์ปรับตัวสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น หลังจากราคาโลหะพื้นฐานในตลาดโลกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ปิดบวก 3.4% หุ้นริโอทินโตปิดบวก 1.6%
หุ้นอาร์เซลอร์มิตตาล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ปิดบวก 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการปี 2553 ที่แข็งแกร่งเกินคาด พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ เนื่องจากความต้องการเหล็กทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น
หุ้น Deutsche Boerse AG ซึ่งเป็นผู้บริหารตลาดหุ้นเยอรมนี ปิดพุ่งขึ้น 8.4% หลังจากมีรายงานว่าบริษัท NYSE Euronext ซึ่งเป็นผู้บริหารตลาดหุ้นนิวยอร์ก กำลังเจรจาเรื่องการควบรวมกิจการกับ Deutsche Boerse ซึ่งคาดว่าอาจจะนำไปสู่การจัดตั้งบริษัทบริหารตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก