นายเดนนิส บราวน์ Corprate CEO ของบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(BH)ระบุว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทาง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH) เกี่ยวกับรักษาสิทธิการเข้าเป็นกรรมการหรือความร่วมมือใด ๆ หลังจากที่ทาง BGH เข้ามาถือหุ้นใน BH แล้วประมาณ 11%
"ไม่ได้รับการติดต่อจาก BGH ...เราไม่ทราบเหตุผลในการเข้าซื้อครั้งนี้เลย"นายบราวน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี นายบราวน์ เชื่อว่า กองทุน Capital Group Ingernational, Inc. ซึ่งเป็นกองทุนสหรัฐจากแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้ขายหุ้นให้กับ BGH ซึ่งตามที่บริษัทได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 24 ม.ค.54 ในสัดส่วน 6.7% หรือจำนวน 49,125,000 หุ้น ยังเหลือหุ้นที่ถืออยู่ 2.8% หรือเท่ากับ 20,373,800 หุ้น
นายบราวน์ กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวถือหุ้น BH มาเป็นเวลาประมาณ 4-5 ปีแล้ว รวมกับกองทุนเทมาเส็กที่ขายออกไปก่อนหน้านี้ซึ่งคาดว่าเป็นจำนวนน้อยมาก ขณะเดียวกัน BGH ก็แจ้งว่าได้ซื้อหุ้นมาจากนักลงทุนสถาบัน
อนึ่ง BH แจ้งว่า BGH เข้าซื้อหุ้น BH จำนวน 46,116,400 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.32% และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์ (NVDR) จำนวน 35,000,000 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 4.79%
นายเดนนิส กล่าวว่า การที่ BGH จะเข้ามาเป็นกรรมการใน BH หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น และกติกาการลงคะแนนเสียงรับรองต้องเกิน 50.1% ซึ่งบริษัทไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องถือหุ้นในสัดส่วนเท่าใดจึงจะสามารถเข้ามาเป็นกรรมการได้
ส่วนโอกาสที่ทาง BGH จะรุกคืบเข้ามาซื้อกิจการหรือไม่นั้น ยังไม่ขอมองไปถึงขั้นนั้น แต่ขณะนี้ทางกลุ่มโสภณพนิชยังคงถือหุ้นรวมกันราว 25% โดยเป็นการถือหุ้นผ่านบริษัท กรุงเทพประกันภัย 13% , ธนาคารกรุงเทพ (BBL) น้อยกว่า 10% และ ตระกูลโสภณพนิช น้อยกว่า 2%
อย่างไรก็ตาม BH มองว่าในแง่ของศักยภาพในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอาเซียนนั้น ทางโรงพยาบาลมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องควบรวมกับใคร โดย BH มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 25% ในตลาดโรงพยาบาลเอกชนในประเทศ
"BH เป็นคู่แข่งกับ BGH เราไม่เคยมีความร่วมมือกันโดยตรง ยกเว้นผ่านทางสมาคมฯ BH พร้อมรับมือการเปิดตลาดอาเซียน เราพร้อมแข่งขันอยู่แล้วในขณะนี้ เราเชื่อว่าเราเป็นที่หนึ่งและดีกว่าทุกโรงพยาบาล จำนวนผู้ป่วยที่เป็นต่างชาติของเราเองก็มีสัดส่วนสูงอยู่แล้ว" นายบราวน์ กล่าว
พร้อมกันนั้น ขณะนี้บริษัทกำลังวางแผนที่จะสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในฮ่องกง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านเหรียญ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลฮ่องกงจะเปิดประมูลที่ดิน 4 แปลงเพื่อให้เอกชนดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลภายในต้นปี 55 หากบริษัทชนะประมูล คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่งในการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่
"เราจะ focus ไปที่ฮ่องกง เพราะรัฐบาลจะเปิดประมูลที่ดิน และต้องการให้ภาคธุรกิจสุขภาพขยายตัวเพื่อให้เป็น sector ที่แข็งแกร่ง" Corprate CEO BH กล่าว
นอกจากนี้ มีแผนมองหาโอกาสขยายธุรกิจในประเทศมาเลเซีย จีน เวียดนาม และ อินเดีย ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมด้านการเงิน โดย ณ ก.ย. 53 มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ 0.2 เท่า ซึ่งบริษัทยังสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
ส่วนธุรกิจในประเทศปีนี้ BH คาดว่าจะมีรายได้เติบโต 10% จากปีก่อน ตามการขยายตัวของยอดคนไข้ที่เข้ารับการรักษา และรักษา EBITDA Margin ไว้ที่ระดับ 24% ต่อปี โดยคาดว่าในวันที่ 25 ก.พ.คณะกรรมการบริษัทจะพิจารณางบการเงินปี 53 และพิจารณาการจ่ายเงินปันผล ซึ่งทุกปีจ่ายไม่ต่ำกว่า 50%ของกำไรสุทธิ แต่จะไม่มีการนำวาระที่ BGH เข้าซื้อหุ้น BH 11% มาหารือกัน
พร้อมกันนั้น BH เตรียมเงินลงทุนราว 1.8 พันล้านบาท เพื่อขยายเตียงผู้ป่วยเพิ่มอีก 100 เตียง คาดว่าภายใน 3-4 ปีจากนี้จะมีเตียงผู้ป่วยเพิ่มเป็น 580 เตียงจากปัจจุบันมี 480 เตียง
ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60% และ ผู้ป่วยต่างประเทศ 40% แต่หากนับจากรายได้จะมาจากผู้ป่วยต่างประเทศ 60% และผู้ป่วยในประเทศ 40%