โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เอสวีไอ(SVI)คาดการรายงานงบการเงินไตรมาส 4/ 53 จะทำสถิติสูงสุด และมองดีต่อเนื่องในปี 54 ทั้งในด้านรายได้-กำไร โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 54 ของ SVI จะอยู่ในช่วง 830-871 ล้านบาท จากรายได้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ รับผลดีจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และออร์เดอร์ทั้งลูกค้ารายเดิม-รายใหม่เติบโต โดยปี 54 ตั้งเป้าลูกค้าใหม่เพิ่ม 5 ราย
นอกจากนี้ SVI ยังเตรียมเข้าซื้อโรงงานในยุโรป การซื้อโรงงานแห่งที่ 5 รวมทั้งการขยายโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต โดยเฉพาะตลาดกลุ่มอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ขณะด้านต้นทุนแนวโน้มลดลง หลังเข้าไปตั้งบริษัทในไต้หวัน
ขณะที่เงินปันผลงวดไตรมาส 2/53-ไตรมาส 4/53 ในอัตรา 0.105 บาท/หุ้น หรือ 5.4% ถือเป็นแรงจูงใจในการลงทุน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กสิกรไทย ซื้อ 4.80 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 4.70 บล.ธนชาติ ซื้อ 4.60 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 4.46 บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ซื้อ 4.28
นางสาวปิยะธิดา สนธิสมบัติ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง( ประเทศไทย)ยังคงแนะนำ" ซื้อ " หุ้น บมจ. เอสวีไอ ( SVI)เนื่องจากมองว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 4/53 จะออกมาดีและทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น สะท้อนแนวโน้มธุรกิจที่สดใสต่อเนื่องในปี 54
อีกทั้งคาดว่า SVI จะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/53-ไตรมาส 4/53 ในอัตรา 0.105 บาท/หุ้น หรือ 5.4% และคาดว่ากำไรในปี 54 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 53 โดยคาดว่ากำไรสุทธิ 871 ล้านบาท เติบโต 19% YOY จากปี 53 ขณะที่ยอดขายในปี 54 มองว่าอยู่ที่ประมาณ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเห็นได้จากยอดสั่งซื้อในมือที่มีแล้วกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทยอยบันทึกเป็นรายได้ประมาณ 76% ของเป้าหมายทั้งปี
นางสาวปิยะธิดา กล่าวต่อว่า แม้ในช่วงที่ผ่านราคาหุ้น SVI จะ Upside ไปแล้ว แต่ก็ยังแนะนำซื้อภายใต้ศักยภาพที่ยังดี และแผนการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ด้วยการเตรียมเข้าซื้อโรงงานในยุโรป และยังได้แก้ไขปัญหาด้านแหล่งวัตถุดิบ จากก่อนหน้าที่เกิดการขาดแคลน ประกอบกับ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการซื้อโรงงานที่ 5 รวมทั้งการขยายโรงงานที่ 3 ต่อไปในเฟสที่ 2 และ 3 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต โดยเฉพาะตลาดกลุ่มอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ขณะที่ต้นทุนก็มีแนวโน้มลดลงหลังจากที่เข้าไปตั้งบริษัทในไต้หวัน
ด้านนักวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด แนะ"ซื้อ"หุ้น SVI โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่มาที่ 4.70 บาท จากเดิม 4.40 บาท โดยมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/53 จะทำสถิติสูงสุดของปีที่ 196 ล้านบาท หรือ 21% YOY และดีต่อเนื่องไปปี 54 ขณะที่ SVI ยังมีจุดแข็งในด้านประสิทธิภาพการผลิตสินค้า จึงทำให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่องทั้งจากกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่ โดยในปี 54 ตั้งเป้าลูกค้าใหม่เพิ่ม 5 ราย และแผนเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกันในยุโรปด้วย
สำหรับ SVI เรามองว่าจากคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งที่ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อในมือปี 54 เพิ่มเป็น 250 ล้านเหรียญแล้ว และต้นทุนที่ลดลง ถือว่าเป็นการสะท้อนในเชิงบวกต่อยอดขายที่มากขึ้น จึงปรับกำไรในปี 54 ขึ้น 4% เป็น 830 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นเป็น 330 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนบล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิของ SVI ในปี 54 ขึ้น 8% เป็น 836 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YOY จากยอดขายในสกุลดอลลาร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 11.2% ในปี 53 เป็น 11.5% หลังจากที่ปัญหาวัตถุดิบเริ่มคลี่คลายในช่วง 2H53 ที่ผ่านมา ขณะที่คาดเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.21 บาทต่อหุ้น
แม้ว่า SVI ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปรับข่าวที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่ปัจจัยที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะคำสั่งซื้อของลูกค้าทั้งจากรายเดิมและรายใหม่ จากปัจจุบันที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาแล้ว 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงถึง 76% ของเป้าหมายยอดขายปี 54 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ จากในปี 53 ที่ยอดขาย 330 ล้านเหรียญสหรัฐ
และมองยอดขายในปี 55 เติบโตขึ้นอีก 20-25 % ด้วยแผนเปิดการผลิตของโรงงาน SVI 3 ในเฟส 2 ในช่วงปี 54 ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในยุโรปก็ไม่น่าจะมีผลต่อยอดขายของบริษัท เพราะลูกค้าหลักเป็นกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีการส่งสินค้าออกขายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น SVI ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่เติบโตระดับสูงเช่นกัน แม้ว่าปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PE 10 เท่า แต่ก็เชื่อว่าแนวโน้มเติบโตของ EPS ต่อเนื่องในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จะยังเป็นตัวดึงดูดนักลงทุนในเข้ามา