นายประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล(LHK) คาดว่ารายได้ปี 53/54 (เม.ย.53- มี.ค.54) จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เนื่องจากในช่วง 9 เดือนรายได้เติบโตถึง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีรายได้อยู่ที่ 1,794 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิงวดปี 53/54 น่าจะเติบโต 10-15% เพราะมีมาริ์จิ้นดีในสินค้าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนสูง โดยในช่วง 9 เดือนมีกำไรสุทธิเติบโต 11.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทยังตั้งเป้าผลประกอบการในปี 54/55 (เม.ย.54-มี.ค.55) รายได้จะเติบโต 10-15% ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอาหาร ขณะเดียวกันบริษัทจะเน้นการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม โดยปี 54/55 บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ หลังจากได้ลงทุนเครื่องจักรใหม่ไปแล้ว ทำให้ยังมีกำลังการผลิตเพียงพอรองรับคำสั่งซื้อสินค้า
นายประสาน กล่าวถึงการเจรจาร่วมลงทุนในอินเดียกับพันธมิตรว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากติดปัญหาการเจรจาสัดส่วนการถือหุ้น จากที่บริษัทต้องการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 45%ใน 2 ปีแรกเพื่อเรียนรู้ธุรกิจ และพันธมิตรถือ 55% และหลังจาก 2 ปี พันธมิตรต้องขายหุ้นให้อีก 10% ซึ่งจะทำให้ LHK ถือหุ้นเพิ่มเป็น 55% ตามที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการบริษัท แต่ปรากฎว่าที่ปรึกษาของพันธมิตรอินเดีย ยื่นข้อเสนอขอถือหุ้นในสัดส่วน 55% ยาว 6 ปี บริษัทจึงไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
"เงื่อนไขยังค้างอยู่ เมื่อไรที่คู่ค้า(อินเดีย)ยอมให้ โลหะกิจฯถือหุ้น 45% ในสองปีแรก และเปลี่ยนเป็น 55% เราก็พร้อมจะเข้าร่วมทุน แต่ถ้ายังไม่ยอมก็ไม่รับข้อเสนอ เพราะธุรกิจหลักของโลหะกิจฯอยู่ในประเทศ การลงทุนที่อินเดียเป็นแค่กระจายความเสี่ยง...เรายอมเสียโอกาสดีกว่าที่เราจะเสี่ยงกับการ control ไม่ได้"นายประสาน กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ LHK จะกลับไปเจรจาใหม่อีกครั้ง และรอดูว่าพันธมิตรอินเดียจะมีท่าทีอย่างไร แต่บริษัทก็จะไม่เปลี่ยนไปเจรจากับพันธมิตรรายอื่น เพราะพันธมิตรรายนี้เป็นคู่ค้าเดิมมานานหลายปีแล้ว
ขณะที่การเจรจากับพันธมิตรจีน บริษัทยังไม่ได้ข้อสรุป จึงยังไม่มีการตกลงกัน และกรณีที่บริษัทจะเข้าซื้อกิจการเกี่ยวกับธุรกิจยานยนต์ในไทยก็ยังไม่มีความคืบหน้า
นายประสาน กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจในปีนี้มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน โดยธุรกิจของ LHK เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวัง ส่วนการเมืองจะทำให้การลงทุนของต่างชาติจะชะลอไป
ด้านราคาสแตนเลส ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าของบริษัท ขณะนี้มีการปรับตัวขึ้นแรงประมาณ 15 บาทต่อกก. แต่ไม่ถึงกับทำให้ขาดทุน เพราะบริษัทได้สต็อกวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว และหากเห็นราคาอยู่ช่วงขาขึ้นจะไม่ไล่ซื้อ แต่จะรอราคานิ่งจึงจะเข้าซื้อ นอกจากนั้น บริษัทได้ศึกษาการผลิตสินค้าที่ไม่ใช้สแตนเลส หรือเหล็ก โดยจะใช้ทองเหลือง ทองแดง อลูมิเนียมมาเป็นวัตถุดิบ
อนึ่ง สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากการผลิตสินค้าในกลุ่มยานยนต์ 35% เครื่องใช้ไฟฟ้า 32% ก่อสร้าง 9% คอมพิวเตอร์ 4% เกษตรและอาหาร 4% ที่เหลือเป็นอื่นๆ